KEY
POINTS
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความพิเศษ “Quick Big Win” คนละครึ่งพลัสกระตุ้นบริโภค นโยบายเฉพาะหน้ารับมือเศรษฐกิจทรุดตัว มีเนื้อหาที่น่าสนใจว่า เศรษฐกิจไทยช่วงก่อนและไตรมาสสุดท้ายปีพ.ศ.2568 ออกอาการนิ่งจากสถานการณ์ต่างๆ ที่ประดังกันเข้ามา ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ซึมกระทบส่งออกและท่องเที่ยว การบริโภคที่อ่อนแอ วิกฤตขัดแย้งกัมพูชา
นายกรัฐมนตรีถูกศาลให้พ้นจากตำแหน่ง นำมาสู่รัฐบาลเสียงข้างน้อย “หนูติดปีก” เข้ามาบริหารประเทศแบบเฉพาะกิจ 4 เดือนยุบสภา ประเทศไทยเผชิญการเมืองย้อนยุค 3 ก๊กเต็มรูปแบบ กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น
ขณะที่เศรษฐกิจโลก ที่ออกอาการอ่อนแอ เริ่มส่งผลกระทบภาคส่งออกอย่างชัดเจน ก่อนหน้าขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 14.4 แต่เดือนสิงหาคม (USD) ขยายตัวเหลือร้อยละ 5.79 เชิงเงินบาทขยายตัวติดลบร้อยละ -5.53 ส่งออกช่วงจากนี้มีแนวโน้มลดลง ด้านการบริโภคในประเทศซบเซาอัตราการขยายตัวต่ำกว่าประมาณการณ์
กระทรวงการคลังคาดการณ์ GDP ไตรมาสสุดท้ายของปีอาจขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3 ทั้งปีอาจขยายตัวได้ร้อยละ 1.8 – 2.0 รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คนละครึ่งพลัส) วงเงินประมาณ 6.2 – 6.4 หมื่นล้านบาทประชาชนเข้าถึงประมาณ 33 ล้านคน มีทั้งแบบจ่ายงวดเดียว 1,700 บาท (ของเดิมได้อยู่แล้ว 300 บาท) และโครงการคนละครึ่งรัฐสมทบ 2,000 – 2,400 บาท (กลุ่มยื่นแบบภาษีได้ 60 : 40) คาดว่ากลางเดือนตุลาคมนี้คงได้ใช้เงินแน่
เงินเท่านี้อาจเป็นเพียงแค่น้ำจิ้มกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณร้อยละ 0.2 – 0.3 แต่คงดีกว่าไม่ได้ ในความเห็นควรมีอีก 2 เฟส ปลายธันวาคมเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่นำเงินไปใช้จ่ายต่างจังหวัด เพื่อกระจายเม็ดเงินให้ทั่วถึง
อีกงวดให้ครม. อนุมัติให้เสร็จก่อนยุบสภา ซึ่งเข้าใจว่าอาจปลายมกราคมปีหน้า เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลรักษาการอาจทำไม่ได้ นัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสุญญากาศทางการเมืองคงมุ่งหาเสียง อาจไม่มีคนดูแลเศรษฐกิจ
ประเด็นที่อยากฝาก “รัฐบาลอนุทิน” ซึ่งช่วงหลังฟอร์มดีคะแนนนิยมของนิด้าโพลระบุว่าดีวันดีคืน อยากให้ทีมเศรษฐกิจผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบแพ็คเกจรองรับเศรษฐกิจอย่างน้อยครึ่งปีแรกของปี 2569 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกออกอาการอ่อนแอ
อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนรุนแรง ช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายสิงหาคม เงินสกุลเหรียญสหรัฐ (USD) อ่อนค่าประมาณร้อยละ 13.625 ส่งผลกระทบเงินสกุลต่าง ๆ กรณีประเทศไทยเงินบาทแข็งค่าในช่วงเดียวกัน 1.843 บาท/USD หรือแข็งค่าร้อยละ 5.378 เปรียบเทียบกับเงินดอลล่าร์สิงคโปร์ แข็งค่าร้อยละ 5.396 และเงินริงกิตของมาเลเซีย แข็งค่าร้อยละ 6.031แสดงให้เห็นว่า เงินบาทของไทยไม่ได้แข็งค่าสุดโต่งประเทศเดียว
ขณะที่ราคาทองคำแท่งตลาดโลกปรับตัวสูงมาโดยตลอดจากราคา ณ ต้นมกราคมอยู่ที่ 2,636 USD/ออนซ์ (1 ออนซ์เท่ากับทองหนัก 2 บาท) ล่าสุดราคาปรับตัวสูงทำลายสถิติ 3,868 USD/ออนซ์ (2 ต.ค.68) สูงขึ้นถึงร้อยละ 46.54 สำหรับทองคำแท่ง (99.99) ราคาในประเทศน้ำหนักหนึ่งบาทราคา 61,440 บาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
สวนทางราคาน้ำมันโลกร่วงต่อเนื่องจากอุปสงค์ความต้องการที่ลดลง ราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กช่วง 8 เดือนแรกราคาลดลงประมาณร้อยละ 13.24 เทียบกับราคาน้ำมันเบนซิน E20 ลดลงร้อยละ 10.83
ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อให้เห็นฉากทัศน์ความผันผวนของเศรษกิจโลกที่แสดงออกในรูปของความไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งจากเศรษฐกิจภายในที่อ่อนแอ บวกกับมาตรการภาษีโต้ตอบทางการค้าและภาวะวิกฤตทางการคลัง “Government Shutdown” กระทบต่อการอ่อนค่าของเงินสกุลเหรียญสหรัฐ ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันโลกร่วงต่อเนื่อง
อีกทั้งความไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลก อาจทรุดตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ ทำให้มีการโยกเงินเปลี่ยนไปถือทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ความท้าทายของทีมเศรษฐกิจนอกจากประเด็นที่กล่าวถึง ไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนของภาคส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจออกอาการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด
กล่าวคือ เดือนสิงหาคมส่งออก ขยายตัวเชิงเหรียญสหรัฐร้อยละ 5.79 แต่เงินบาทแข็งค่า ทำให้ขยายตัวเชิงเงินบาทหดตัว -5.53 จากค่าเฉลี่ยขยายตัวร้อยละ 4.72 เป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดในช่วง 8 เดือน ประเทศคู่ค้าหลักส่งออกชะลอตัว เช่น สหรัฐอเมริกาขยายตัวเพียงร้อยละ 12.76 จากค่าเฉลี่ย (ม.ค. - ก.ค.) ร้อยละ 30.07 เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ เร่งการนำเข้าให้ทันการปรับภาษีของทรัมป์ (Reciprocal Tariff)
ขณะเดียวกันส่งออกไปจีน ซึ่งเป็นลูกค้าอันดับ 2 ขยายตัวเพียงร้อยละ 5.87 ต่ำสุดจากค่าเฉลี่ยในช่วงเดียวกัน ขยายตัวร้อยละ 19.42 ส่งออกไปฮ่องกง ขยายตัวร้อยละ 0.9 และญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ -5.26
ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากส่งออกชะลอตัว แฝงมากับเงินบาทแข็งค่าคือ สินค้าเกษตรกรรม หดตัวเชิงเงินบาท ร้อยละ 22.8 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร หดตัวร้อยละ 17.09 ขณะที่คลัสเตอร์อุตสาหกรรมการผลิต หดตัวร้อยละ 0.69 ที่น่ากังวลคือเกษตรกรชาวนา (ข้าว) ในเชิงปริมาณส่งออก 8 เดือนแรกส่งออก ลดลงร้อยละ 24 ในเชิงมูลค่าเงินบาท หดตัวร้อยละ 35.63
การที่รัฐบาลออกนโยบายแก้เศรษฐกิจระยะสั้น Quick Big Win ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คนละครึ่งพลัส งบประมาณก้อนแรก 6.4 หมื่นล้านบาท อาจแทบไม่มีผลต่อ GDP แต่เม็ดเงินเหล่านั้นจะมีส่วนสำคัญต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ราคาสินค้าตกต่ำซึ่งแนะนำว่าจะต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เฟส
ขณะเดียวกันเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่เก็บเกิบภาษีจริง ซึ่งรมว.คลังระบุว่ามีเม็ดเงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท พร้อมที่จะคืนให้กับภาคเอกชนให้เร่งดำเนินการ ซึ่งจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม
ด้านมาตรการสร้างความเชื่อมั่นจากความไม่แน่นอนของรัฐบาล ซึ่งพอรับตำแหน่งวันแรกประกาศจะยุบสภาล่วงหน้าภายใน 4 เดือน ต่างชาติอาจไม่เข้าใจวัฒนธรรมและจารีตการเมืองแบบไทยๆ อาจลังเลที่จะนำเม็ดเงินเข้ามาลงทุน แต่ภาพรวมการนำเข้าสินค้าทุน-เครื่องจักรช่วงตั้งแต่ต้นปี ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 22.15 เทียบกับปีที่แล้ว ขยายตัวร้อยละ 9.16 และการนำเข้าวัตถุดิบ-สินค้ากึ่งสำเร็จรูป ขยายตัวร้อยละ 11.83
สะท้อนการลงทุนเอกชนและการผลิตยังเดินหน้า โดยหวังรองรับการส่งออกจะยังขยายตัวได้ในปีหน้า ประเด็นที่ต้องติดตามส่งออกช่วงที่เหลือของปีและปีพ.ศ. 2569 จะกลับมาฟื้นตัวหรือไม่ เนื่องจากการพึ่งพาการบริโภคในประเทศซึ่งกำลังซื้ออ่อนแอ จะทำให้กำลังการผลิตเดินไม่เต็มตามศักยภาพ และมีสินค้าคงคลังสูง ทำให้มีปัญหาสภาพคล่องตามมา
มาตรการที่รัฐบาลต้องเร่งแก้คือ การท่องเที่ยวของต่างชาติ ลดลงอย่างเป็นนัยตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดจีน นักท่องเที่ยวเดือนสิงหาคมหายไปถึง ร้อยละ 35 – 40 จะยิ่งซ้ำเติมกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวไปจนถึงอาจหดตัว กระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงร้านค้าแผงลอย ร้านอาหาร ภัตตาคารและโรงแรมตามแหล่งท่องเที่ยว จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการด่วนรองรับการท่องเที่ยวในช่วงไฮท์ซีซั่น
รัฐบาลอนุทินที่เข้ามาในจังหวะนี้เป็นทั้ง “ความท้าทาย” จะไปรอดจากภาวะการเมืองแปรปรวน เศรษฐกิจไม่เอื้อ ปัญหาขัดแย้งกัมพูชายกระดับเป็นความคลั่งชาติรอวันปะทุ อาจเป็น “โอกาส” หากสามารถแก้ปัญหาได้ตรงประเด็น
จุดแข็งของรัฐบาลคือตัวท่านนายกรัฐมนตรีมาจากเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และเป็นมืออาชีพ-เก๋าทางการเมือง รวมทั้งมีการดึง “Economic Team” จากคนเก่งๆ เข้ามาร่วมงาน โดยให้เร่งแก้ปัญหาระยะเร่งด่วนปากท้องของประชาชน
การแก้หนี้รายย่อย ปัญหาการส่งออกและขัดแย้งกัมพูชา เนื่องจากมีเวลาไม่มากไม่มีเวลาฮันนีมูนหรือยิ้มสวยๆ ซึ่งแก้ปัญหาไม่ได้ต้องแก้ให้ตรงจุด ตรงประเด็น มาตรการที่ดูเท่แต่เห็นผลระยะยาว ขอให้เก็บไว้ก่อน หากปีหน้าเลือกตั้งจบสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลค่อยว่ากันใหม่