เอกชนชี้ ’คนละครึ่งพลัส‘ คาดเม็ดเงินสะพัด 2 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

02 ต.ค. 2568 | 22:00 น.

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยหนุนรัฐบาลเดินหน้ามาตรการ “คนละครึ่งพลัส” หลัง รัฐบาลเล็งเปิดใช้ปลาย ต.ค. นี้ เพิ่มกำลังซื้อประชาชนกว่า 33 ล้านคน เงินสะพัดกว่า 2 แสนล้าน SME ร้านอาหาร–ค้าปลีกคึกคัก กระจายรายได้สู่ SME หนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนทั่วประเทศ

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนคาดการณ์ว่ามาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ที่รัฐบาลเตรียมเริ่มในไตรมาส 4 ปี 2568 จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ราว 2 แสนล้านบาท
  • โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนกว่า 33 ล้านคน และกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อย (SME)
  • ผู้เข้าร่วมโครงการจะถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, ประชาชนที่ไม่ยื่นภาษี, และประชาชนที่ยื่นภาษี โดยจะได้รับวงเงินสนับสนุนที่แตกต่างกัน

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งรัฐบาลเตรียมเดินหน้าในไตรมาส 4/2568 ถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยคาดว่าจะช่วยสร้างการกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่น ประชาชนกลุ่มเปราะบาง และผู้ประกอบการ SME ในภาคการค้า การบริการ อุตสาหกรรม ตลอดจนเกษตรกรต้นน้ำ ส่งผลให้ GDP ไทยมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี

มาตรการดังกล่าวตั้งเป้าเพิ่มกำลังซื้อประชาชนกว่า 33 ล้านราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน ได้รับวงเงินเพิ่มเติม 1,700 บาท รวมเป็น 2,000 บาท/เดือน ผ่านบัตรสวัสดิการ คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 22,000 ล้านบาท
  2. ประชาชนที่ไม่ได้ยื่นภาษี 9 ล้านคน ได้สิทธิร่วมจ่าย 50:50 วงเงิน 2,000 บาท ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 200 บาท/วัน ระหว่าง พ.ย.–ธ.ค. 68
  3. ประชาชนที่ยื่นภาษี 11 ล้านคน ได้สิทธิร่วมจ่าย 50:50 วงเงิน 2,400 บาท ใช้จ่ายไม่เกิน 200 บาท/วัน ในช่วงเวลาเดียวกัน

กลุ่มที่ไม่ได้ยื่นและยื่นภาษีใช้ผ่าน Application เป๋าตังซึ่งคาดเปิดลงทะเบียน และเริ่มใช้ภายในปลายตุลาคม คาดเกิดการ กระตุ้นเศรษฐกิจถึง 2-3 รอบ เม็ดเงินราว 200,000 ล้านบาทจะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ร้านค้าสะดวกซื้อ และร้านอาหาร ที่ส่งผลต่อ Supply chain ทั้งระบบ ต้นน้ำกลุ่มเกษตรกร กลางน้ำโรงงาน ผู้ผลิต ผู้แปรรูป และปลายน้ำร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ

จากฐานข้อมูล สสว พบว่าจำนวนผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคาร แผงลอย Food truck และร้านเครื่องดื่ม SME รวมทั้งสิ้น 390,938 ราย แบ่งเป็นรายย่อย (Micro) 359,926 ราย (92%) รายย่อม (Small) 30,303 ราย (7.8%) และรายกลาง (Medium) 846 ราย (0.2%) หากจำแนกประเภทการจดทะเบียนพบว่าเป็นนิติบุคคล 27,641 ราย (7%) และบุคคลธรรมดา 363,297 ราย (93%) เกิดการจ้างงาน 1,089,150 ราย จำนวนผู้ประกอบการร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ มินิมาร์ท Discount Store Hypermarket Supermarket SME รวมทั้งสิ้น 420,242 ราย แบ่งเป็นรายย่อย (Micro) 415,266 ราย (92%) รายย่อม (Small) 2,319 ราย (7.8%) และรายกลาง (Medium) 128 ราย (0.2%)

เอกชนชี้ ’คนละครึ่งพลัส‘ คาดเม็ดเงินสะพัด 2 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

โดยจำแนกเป็นร้านขายของชำ 410,747 ราย (97.7%) ร้านสะดวกซื้อ มินิมาร์ท 7,994 ราย (1.9%) Supermarket 1,163 ราย (0.3%) และ Discount Store – Hypermarket 338 ราย (0.1%)  เป็นนิติบุคคล 3,463 ราย (7%) และบุคคลธรรมดา 416,217 ราย (93%) มีการจ้างงาน 955,881 ราย ซึ่งหากรวม 2 กลุ่ม ด้านผู้ประกอบการ SME พบว่าจะเปิดโอกาสให้มีผู้ได้รับประโยชน์มากถึง 811,180 ราย และจ้างงานรวม 2,045,031 ราย

นายแสงชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อนนโยบายจะมีประสิทธิภาพหากควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบภาษีและมาตรการเสริม เช่น การทบทวนยกเลิกภาษีเหมาจ่าย การสร้างระบบพี่เลี้ยงภาษีสำหรับ SME การยกเว้นโทษปรับย้อนหลัง รวมถึงการส่งเสริมการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมทั้งเพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจ เช่น สลาก SME รายเดือน และ Soft Loan ดอกเบี้ยต่ำ 2%

“รัฐบาลควรเร่งยกระดับศักยภาพ SME ผ่านการรีสกิล อัพสกิล และพัฒนา Digital Credit Scoring Ecosystem เพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อ ขณะเดียวกันควรส่งเสริมการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ลดต้นทุนขนส่ง และใช้พลัง Influencer สนับสนุนการตลาด SME” นายแสงชัยกล่าว

ทั้งนี้ย้ำด้วยว่า ควรออกแบบมาตรการให้ต่อเนื่อง อาทิ “คนละครึ่งภาคประกันสังคม” เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพแรงงานรายได้น้อย รวมถึงมาตรการสนับสนุน Local Content ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ “เรามั่นใจว่าหากรัฐบาลเดินหน้านโยบายนี้จริงจัง จะตอบโจทย์ทั้งประชาชนและ SME ได้อย่างแท้จริง” นายแสงชัยกล่าวทิ้งท้าย