รื้อใหญ่ Free Zone สกัดเลี่ยงภาษี ป้องกันสวมสิทธิ์ สินค้าราคาถูกทะลัก

03 ต.ค. 2568 | 04:45 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ต.ค. 2568 | 04:45 น.

กรมศุลกากรเดินหน้า ปรับปรุงเกณฑ์เขตปลอดอากร (Free Zone) แก้ปัญหาแหล่งกำเนิดสินค้า ป้องกันการสวมสิทธิ์  สินค้าราคาถูกทะลักตลาดไทย กระทบผู้ประกอบการในประเทศ ต้นตอเงินเฟ้อไทยต่ำต่อเนื่อง 7 เดือนไทยขาดดุลการค้าจีนทะลุ 1.18 ล้านล้าน

KEY

POINTS

กรมศุลกากรเดินหน้าแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าจากจีนผ่านการปรับปรุงเกณฑ์เขตปลอดอากร (Free Zone) โดยเน้นการควบคุมแหล่งกำเนิดสินค้า ลดการนำเข้าสินค้าราคาถูกที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ


ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงถึง 1.18 ล้านล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการนำเข้าสินค้าทุนและชิ้นส่วนจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่การส่งออกไทยไปจีนยังคงมีความเปราะบาง

 

กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการเจรจาภาษี Reciprocal Tariff กับสหรัฐฯ และส่งเสริมการผลิตในประเทศเพื่อเพิ่ม local content ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน 

สหรัฐอเมริกา เริ่มเก็บภาษีสินค้าที่ส่งออกจากไทยในอัตรา 19% หรือที่เรียกกันว่า Reciprocal Tariff ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 แต่ยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องภาษีสวมสิทธิ หรือภาษีทางผ่าน (Transshipment) หรือภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บจากสินค้าที่สหรัฐสงสัยว่า มีการ ‘สวมสิทธิ’ หรือเปลี่ยนแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า จากประเทศหนึ่งมายังประเทศผู้ส่งออก ก่อนส่งออกไปยังสหรัฐอีกที เพื่อประโยชน์ด้านภาษี

เจ่งเจรจาถิ่นกำเนิดสินค้า 

หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงพาณิชย์ โดยนางศุภจีสุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า จะร่วมมือกับภายในกระทรวงและนอกกระทรวงเจรจาภาษีทรัมป์ หลังจากที่ผ่านมา มีการเจรจาได้ภาษีในอัตรา 19% แต่ยังเหลือรายละเอียด ทั้งเรื่องสินค้าถิ่นกำเนิด การทุ่มตลาดสินค้า การช่วยเหลือผู้ประกอบการ และต้องหาตลาดใหม่ เพื่อทดแทนและเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายที่จะเจรจาจบมีรายละเอียดอย่างชัดเจนในสิ้นปี 

ขณะที่เรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ ได้มีการรวบรวมการขอใบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือ CO มาไว้ที่กระทรวงพาณิชย์ ทำให้มั่นใจว่า การออกใบสามารถตรวจสอบต้นทางได้ถูกต้อง จะมีการปลอมแปลงเอกสาร  

รื้อใหญ่ Free Zone สกัดเลี่ยงภาษี ป้องกันสวมสิทธิ์ สินค้าราคาถูกทะลัก

ส่วนเรื่องสินค้าทุ่มตลาด AD จะดำเนินการลดระยะเวลาผู้ประกอบการเรียกร้องขอใช้สิทธิ์ โดยการขอคำร้องจาก 3 เดือนเหลือ 1 เดือน โดยใช้ระบบเทคโนโลยีคำนวนให้ถูกต้องและรวดเร็ว และมีการปรับปรุงระเบียบให้สามารถทำได้สั้นลดลง

รื้อใหญ่ฟรีโซนผิดวัตถุประสงค์ 

สอดคล้องกับอธิบดี กรมศุลกากรคนใหม่ น.ส.กุลยา ตันติเตมิทระบุว่า หลังการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 1 ตุลาคม 2568 มีภารกิจสำคัญคือ การเข้าไปแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากเขตปลอดอากร (Free Zone) ที่ผิดวัตถุประสงค์

ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย การแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ และความได้เปรียบในการค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) และการทุ่มตลาด 

รื้อใหญ่ Free Zone สกัดเลี่ยงภาษี ป้องกันสวมสิทธิ์ สินค้าราคาถูกทะลัก

'การแก้ไขปัญหา Free Zone เป็นภารกิจเร่งด่วน และเป็นงานที่มีความถนัดเป็นพิเศษ เนื่องจากมีพื้นฐานและความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายศุลกากรและภาษีระหว่างประเทศ ดังนั้นส่วนที่เกี่ยวข้องการค้าระหว่างประเทศ จะดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนงานด้านกฎหมายอื่นๆ อาจมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาดูแล'

 น.ส.กุลยากล่าวว่า ปัญหาหลักในเขตปลอดอากร (Free Zone)นั้น วัตถุประสงค์เดิมจัดตั้งขึ้นเพื่อจูงใจการลงทุน โดยให้นำเข้าสินค้ามาผสมผสานกับวัตถุดิบหรือสินค้าภายในประเทศ แล้วผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยมีการนำเข้าสินค้าเข้ามาเพียงเพื่อ“รีแพ็ค” หรือเปลี่ยนหีบห่อ แล้วนำกลับมา “จำหน่ายในประเทศ” เป็นจำนวนมาก 

นอกจากขัดกับเจตนารมณ์เดิมอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ เกิดการทุ่มตลาดภายในประเทศ ทำให้สินค้าของไทยเสียเปรียบและแข่งขันได้ยาก

ขณะที่การสวมสิทธิ์สินค้าไทยในการส่งออกสินค้า โดยไม่ใช้ส่วนประกอบจากประเทศไทยเลย หรือใช้น้อยมาก แต่ถูกระบุว่า เป็นสินค้าไทย ทำให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกมาตรการทางการค้าจากอัตราภาษีที่สูงจากสหรัฐฯ ด้วย

“ความเสี่ยงจาก Transshipment ประเทศไทยอาจถูกโยงกับประเด็นการขนส่งผ่านแดนที่ไม่ชอบธรรม ซึ่งอาจทำให้สินค้าส่งออกของไทยถูกเก็บภาษีสูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทใน Free Zone ไม่ได้ช่วยส่งเสริมหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหรือวัตถุดิบจากผู้ประกอบการไทยเท่าที่ควร”

ดังนั้นกรมศุลกากรจึงจะร่วมมือกับทีมเจรจาการค้า เพื่อทำให้ประเด็นเหล่านี้ มีความชัดเจนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย และจะไม่ให้ประเทศไทยเสียเปรียบจากการทุ่มตลาดของสินค้านำเข้า (โดยเฉพาะจากจีน) และไม่ให้เกิดปัญหากับการส่งออกสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา ทั้งจากประเด็นภาษีและ Transshipment

สินค้าราคาถูกต้นตอเงินเฟ้อต่ำ 

ทั้งนี้ประเด็นแหล่งกำเนิดสินค้า กำลังเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายกังวล โดยจะเห็นว่า จากการหารือร่วมกันระหว่างนายอนุทิ ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจกับสมาคมธนาคารไทย หนึ่งในปัญหาที่ถูกหยิบยกมาหารือคือการควบคุม “แหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin)” อย่างเข้มงวด เพราะปัญหานี้สร้างแรงกดดันต่อสภาอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการไทย และยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของภาคธนาคารด้วย 

ด้านนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนสิงหาคม 2568 ที่ทรงตัวที่ 0.81% ชะลอตัวลงจากเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สูงขึ้น 0.84%จากช่วงเดียวกันปีก่อน อาจจะเป็นผลกระทบจาก 2ส่วนคือ ความต้องการลดลงจากภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลงและสินค้าราคาถูกจากจีนที่ทะลักเข้าไทย 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย

ดังนั้นประเด็นที่ต้องทำคือ การดูแลปัญหาสินค้าราคาถูกจากจีน เพราะแม้เงินเฟ้อของไทยต่ำ แต่ผู้ประกอบการของไทยเจอการแข่งขันที่หนักขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากจีน ทั้งในแง่ผู้ประกอบการขานำเข้าหรือผู้ประกอบการในประเทศสู้กับสินค้านำเข้าราคาถูก และขาผู้ประกอบการผู้ส่งออกที่ทำตลาดยากขึ้น เพราะสินค้าราคาถูกจากจีนยังส่งออกไปต่างประเทศอื่นด้วย 

สำหรับการรับมือหรือช่วยผู้ประกอบการไทยนั้น ทั้งรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทสไทย(ธปท.)สามารถร่วมกันหาทางออก แก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกจากจีน

ขณะเดียวกันในส่วนนโยบายภาครัฐ ซึ่งเป็นโจทย์ระยะยาวที่สำคัญคือ ต้องช่วยให้ครัวเรือนและ SMEs มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลนี้มีเวลา 4 เดือน อาจจะไม่ทัน แต่เป็นเกมระยะยาวที่ต้องวางแผนทำให้เศรษฐกิจดีช่วยให้เงินเฟ้อกลับขึ้นมาได้
นำเข้าสินค้าจีนทะลัก 1.9 ล้านล้าน 

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอ กลุ่มบริษัท efrastructure Group ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ และสตาร์ทอัพ เปิดเผยว่า ตัวเลขการค้าระหว่างไทยกับจีนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 สะท้อนแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่หนักขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย โดยการนำเข้าจากจีนพุ่งสูงแตะ 1,992,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 23.32% จากปีก่อน

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอ กลุ่มบริษัท efrastructure Group

ขณะที่การส่งออกไปจีนมีมูลค่าเพียง 816,185 ล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้า 1,176,532 ล้านบาท หรือส่งออกได้เพียงราว 41% ของที่นำเข้า 

แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น มาจากสินค้าทุนและวัตถุดิบซึ่งครองสัดส่วนสูงถึงราว 78% ของการนำเข้าทั้งหมด หมวดหลักได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสารและเครือข่าย แผงวงจรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนคอมพิวเตอร์ สะท้อนการพึ่งพาจีนในเชิงโครงสร้าง โดยมีปัจจัยหนุนจากอุปสงค์รอบใหม่ในประเทศ ทั้งการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ โครงข่ายดิจิทัล โซลาร์และแบตเตอรี่ รวมถึงการรีสต็อกอุปกรณ์ไอที

ในอีกด้านหนึ่ง การส่งออกของไทยไปจีนยังมีความเปราะบางสูง เพราะพึ่งพาสินค้าที่อ่อนไหวต่อวัฏจักรและฤดูกาล ผลไม้สดและแช่เย็นยังคงเป็นสินค้าส่งออกใหญ่ด้วยมูลค่ากว่า 148,700 ล้านบาท แต่มีความเสี่ยงจากราคาผันผวนและมาตรการกำกับการนำเข้าของจีน    

ส่วนคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนคิดเป็นราว 124,200 ล้านบาท แต่เผชิญแรงกดดันจากการที่จีนเร่งพัฒนาห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์ของตนเอง ขณะที่เคมีภัณฑ์ ปิโตรเคมี ยางพารา และเชื้อเพลิงสำเร็จรูป ต่างถูกกระทบจากราคาตลาดโลกและกำลังการผลิตที่จีนเพิ่มขึ้น กดดันทั้งราคาและปริมาณการส่งออกของไทย 

แรงกดดันภายนอกยังซ้ำเติมภาวะขาดดุล โดยเฉพาะค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลง ประกอบกับต้นทุนโลจิสติกส์ที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ราคาสินค้าจีนเมื่อคิดเป็นเงินบาทยิ่งดึงดูดผู้ซื้อ ขณะเดียวกันมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ต่อจีน ส่งผลให้สินค้าจีนบางส่วนเบี่ยงตลาดเข้ามาในอาเซียนมากขึ้น ไทยจึงต้องรับแรงกระแทกทั้งด้านราคาและปริมาณการนำเข้า  

แม้การนำเข้าสินค้าจีนจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ถูกลงในระยะสั้น แต่ในมุมโครงสร้างถือว่ากดดันภาคการผลิตในประเทศและทำให้ดุลการค้ากับจีนติดลบลึกขึ้นต่อเนื่อง หากการส่งออกของไทยยังเติบโตไม่ทัน การขาดดุลนี้อาจกลายเป็นภาระระยะยาว 

โจทย์ใหญ่ของไทยจึงอยู่ที่การลดการพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนจากจีน ผ่านการยกระดับการผลิตในประเทศและเพิ่ม local content ควบคู่กับการสร้างสินค้าส่งออกมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ตลาดจีน ทั้งในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ระบบยานยนต์ไฟฟ้า เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ไปจนถึงอาหารนวัตกรรม ขณะเดียวกันต้องเร่งต่อยอดโอกาสจากตลาดดิจิทัลและ e-commerce จีนเพื่อผลักดันแบรนด์ไทยเข้าไปแข่งขันโดยตรง 

ภาวะขาดดุลการค้ากับจีนในช่วงเจ็ดเดือนแรกปีนี้ที่สูงถึงกว่า 1.18 ล้านล้านบาท จึงไม่ใช่เพียงความไม่สมดุลระยะสั้น แต่สะท้อนโครงสร้างการค้าไทยที่ยังอิงการนำเข้าสินค้าทุนและชิ้นส่วน ขณะที่การส่งออกยังพึ่งหมวดสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อวัฏจักร หากไม่เร่งปรับสมดุล ไทยอาจต้องเผชิญกับดุลการค้าติดลบเชิงโครงสร้างกับจีนต่อเนื่องยาวนาน 

 

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,137 วันที่ 5 - 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568