KEY
POINTS
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โจมตีสินค้านำเข้าหลากหลายประเภท โดยประกาศมาตรการภาษีนำเข้ารอบใหม่ที่เข้มงวดล่าสุด โดยระบุว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้า 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้า (branded drugs) ภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถบรรทุกหนัก และภาษีนำเข้า 50% สำหรับตู้ครัว โดยมาตรการภาษีทั้งหมดจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม
ทรัมป์ได้ดำเนินการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติหลายครั้งในสมัยดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง เพื่อพิจารณาภาษีนำเข้าใหม่สำหรับสินค้าหลากหลายประเภท ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอนและทำให้การตัดสินใจของภาคธุรกิจชะงักงัน
ภาษีนำเข้าใหม่ในอัตรา 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้าหรือได้รับสิทธิบัตรจะใช้กับสินค้านำเข้าทั้งหมด เว้นแต่บริษัทนั้น ๆ ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตในสหรัฐฯ
การเก็บภาษีนำเข้าใหม่สำหรับรถบรรทุกหนักมีขึ้นเพื่อปกป้องผู้ผลิตจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ และจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทอย่าง Peterbilt และ Kenworth ในเครือ Paccar และ Freightliner ในเครือ Daimler Truck
สำหรับภาษีนำเข้าใหม่ของตู้ครัว ตู้ห้องน้ำ และเฟอร์นิเจอร์บางชนิดนั้น ทรัมป์อ้างว่าเป็นผลมาจากปริมาณการนำเข้าขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ
เหตุผลของเรื่องนี้คือการล้นตลาดของสินค้าประเภทนี้ในสหรัฐฯ จากประเทศต่าง ๆ
สมาคมผู้วิจัยและผู้ผลิตยาของอเมริกา (Pharmaceutical Research and Manufacturers of America) คัดค้านมาตรการเก็บภาษียาใหม่ โดยก่อนหน้านี้ระบุว่า 53% ของมูลค่า 8.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนผสมของยาที่ใช้ในสหรัฐฯ ผลิตภายในประเทศ ขณะที่ส่วนที่เหลือมาจากยุโรปและพันธมิตรของสหรัฐฯ
หอการค้าสหรัฐฯ (U.S. Chamber of Commerce) เรียกร้องต่อกระทรวงพาณิชย์ไม่ให้เก็บภาษีนำเข้ารถบรรทุก โดยชี้ว่าประเทศผู้นำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา ญี่ปุ่น เยอรมนี และฟินแลนด์ ซึ่งทั้งหมดเป็นพันธมิตรหรือหุ้นส่วนใกล้ชิดของสหรัฐฯ ที่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ
เม็กซิโก เป็นผู้ส่งออกรถบรรทุกขนาดกลางและหนักรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐฯ รายงานที่เผยแพร่ในเดือนมกราคมระบุว่า การนำเข้ารถขนาดใหญ่ดังกล่าวจากเม็กซิโกเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่านับตั้งแต่ปี 2019
ความกังวลเงินเฟ้อ
การเก็บภาษีที่สูงขึ้นสำหรับยานพาหนะเชิงพาณิชย์อาจสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนการขนส่ง ขณะที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะลดเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในสินค้าบริโภค เช่น ของชำ
มาตรการดังกล่าวยังอาจส่งผลกระทบต่อ Stellantis (STLAM.MI) บริษัทแม่ของ Chrysler ซึ่งผลิตรถบรรทุก Ram และรถตู้เชิงพาณิชย์ในเม็กซิโก รวมถึง Volvo Group ของสวีเดนที่กำลังก่อสร้างโรงงานผลิตรถบรรทุกหนักมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์ในเมืองมอนเตร์เรย์ เม็กซิโก โดยมีกำหนดเริ่มดำเนินงานในปี 2026
ตามข้อมูลของสำนักงานการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (U.S. International Trade Administration) เม็กซิโกมีโรงงานผลิตและประกอบรถโดยสาร รถบรรทุก และรถแทรกเตอร์บรรทุก จำนวน 14 แห่ง และมีโรงงานผลิตเครื่องยนต์ 2 แห่ง อีกทั้งยังเป็นผู้ส่งออกรถแทรกเตอร์บรรทุกอันดับหนึ่งของโลก โดย 95% ส่งออกไปยังสหรัฐฯ
เราจำเป็นต้องทำให้ผู้ประกอบการรถบรรทุก (Truckers) ของเราแข็งแรงและมีเสถียรภาพทางการเงินด้วยเหตุผลหลายประการ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ
เม็กซิโกแสดงการคัดค้านมาตรการภาษีใหม่ โดยได้ยื่นต่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤษภาคมว่า รถบรรทุกทั้งหมดที่ส่งออกจากเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ มีชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉลี่ย 50% รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล
เมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯ นำเข้าส่วนประกอบยานพาหนะขนาดหนักจากเม็กซิโกรวมเกือบ 128 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 28% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ เม็กซิโกระบุ
สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ญี่ปุ่น (Japanese Automobile Manufacturers Association) ก็ออกมาคัดค้านภาษีใหม่ โดยระบุว่าบริษัทญี่ปุ่นได้ลดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็เพิ่มการผลิตรถบรรทุกขนาดกลางและหนักภายในสหรัฐฯ