'พรชัย ฐีระเวช' รับไม้ต่อสรรพสามิต สานนโยบายภาษีใหม่ ‘ความเค็ม-แบต-บุหรี่’

01 ต.ค. 2568 | 09:14 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2568 | 09:14 น.

‘กุลยา’ ฝากการบ้าน ‘พรชัย ฐีระเวช’ อธิบดีสรรพสามิตคนใหม่ สานต่อภารกิจภาษีใหม่ ‘ความเค็ม-แบตเตอรี่-บุหรี่’ ขับเคลื่อนรายได้รัฐควบคู่การสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคม

การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2569 (1 ต.ค. 2568–30 ก.ย. 2569) นับเป็นอีกจุดสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายด้านภาษี หลังคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติแต่งตั้งนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ขึ้นนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมสรรพสามิต แทนน.ส.กุลยา ตันติเตมิท ที่โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร 

ก่อนอำลาตำแหน่งน.ส.กุลยา ได้แถลงผลงานตลอดปีงบประมาณ 2568 ภายใต้กรอบ SMART Excise พร้อม “ฝากการบ้าน” ให้อธิบดีคนใหม่สานต่อ โดยมี 3 ภาษีสำคัญที่อยู่ระหว่างการศึกษา ได้แก่ ภาษีความเค็ม, ภาษีแบตเตอรี่, และ การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่

แต่ละเรื่องล้วนมีผลต่อทั้งรายได้รัฐ สุขภาพสังคม และทิศทางอุตสาหกรรมในอนาคต  

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมศุลกากร 

1.ภาษีความเค็ม โครงการที่กรมสรรพสามิตผลักดันต่อเนื่องคล้ายกับภาษีความหวาน มุ่งหวังปรับพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดปัญหาสุขภาพ มากกว่าการหารายได้ภาษี แม้การหารือกับผู้ประกอบการและหน่วยงานรัฐคืบหน้าไปมาก แต่ยังต้องตกผลึกในรายละเอียดเพื่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อสังคมโดยไม่สร้างภาระเกินจำเป็น  

2.ภาษีแบตเตอรี่ การปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหม่สอดรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาด โดยกำหนดอัตราภาษีตามคุณสมบัติของแบตเตอรี่ หากเป็นแบบชาร์จซ้ำได้ น้ำหนักเบา ความจุสูง จะได้สิทธิภาษีต่ำกว่า เพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการรีไซเคิล 

 

3.การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ประเด็นละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายด้าน โดยมาตรฐานสากลนิยมใช้ระบบอัตราภาษีเดียว (Single Rate) แต่ไทยยังคงใช้สองอัตรา การปฏิรูปครั้งนี้จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่อธิบดีคนใหม่ต้องหาสมดุลระหว่างสุขภาพสาธารณะ รายได้รัฐ และความอยู่รอดของผู้ประกอบการ  

สำหรับผลงาน“กุลยา” ภายใต้ SMART Excise ตลอดปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตต้องเผชิญทั้งแรงกดดันด้านรายได้และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แต่ก็สามารถจัดเก็บภาษีได้ 489,564 ล้านบาท ในรอบ 11 เดือน เพิ่มขึ้น 1.61% จากปีก่อน และมั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายทั้งปีที่ 535,000 ล้านบาท  

'พรชัย ฐีระเวช' รับไม้ต่อสรรพสามิต สานนโยบายภาษีใหม่ ‘ความเค็ม-แบต-บุหรี่’

มาตรการสำคัญที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ได้แก่

  1. ปรับโครงสร้างภาษีน้ำมัน ขึ้น 1 บาทต่อลิตรทั้งเบนซินและดีเซล โดยชดเชยด้วยการลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้จัดเก็บรายได้เพิ่ม 2,800 ล้านบาท/เดือน โดยไม่กระทบราคาขายปลีก
  2. ขยายเวลาลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% ถึง 31 ธ.ค. 2568 เพื่อพยุงภาคท่องเที่ยว จัดเก็บได้แล้วเกือบ 200 ล้านบาท
  3. กำหนดภาษีรถยนต์โบราณ 45% คาดสร้างรายได้เพิ่มปีละ 1,000–2,000 ล้านบาท และส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลางจัดแสดงรถโบราณในภูมิภาค
  4. ส่งเสริมสุราชุมชน ภายใต้นโยบาย Soft Power มีผู้ประกอบการ 1,824 ราย จัดเก็บภาษีได้ 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%
  5. เข้มปราบสินค้าหนีภาษี จับกุม 33,766 คดี สูงกว่าเป้าหมาย 37.33% สร้างรายได้เข้าคลังเกือบ 500 ล้านบาท   

นอกจากนี้ กรมยังวางรากฐาน กลไกราคาคาร์บอน ในภาษีน้ำมัน กำหนดราคา 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมหันสู่แนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามเป้า Net Zero ปี 2065  

ด้านยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการ EV3 และ EV3.5 ทำให้ยอดจดทะเบียนสะสมเพิ่มเป็น รถยนต์ไฟฟ้า 233,802 คัน และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 71,667 คัน พร้อมเงื่อนไขการผลิตชดเชยที่เข้มงวดขึ้น หากผู้ประกอบการไม่ผลิตตามแผน จะต้องคืนเงินอุดหนุนและชำระส่วนต่างภาษี 

การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต

ดังนั้น โจทย์ที่รออยู่บนโต๊ะของ ‘พรชัย ฐีรเวช’จึงไม่ใช่เพียงการรักษารายได้ภาษีตามเป้า แต่ยังรวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบโจทย์สุขภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลระหว่างภาระของผู้บริโภคและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,134 วันที่ 25 - 27 กันยายน พ.ศ. 2568