การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2569 (1 ต.ค. 2568–30 ก.ย. 2569) นับเป็นอีกจุดสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายด้านภาษี หลังคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติแต่งตั้งนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ขึ้นนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมสรรพสามิต แทนน.ส.กุลยา ตันติเตมิท ที่โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร
ก่อนอำลาตำแหน่งน.ส.กุลยา ได้แถลงผลงานตลอดปีงบประมาณ 2568 ภายใต้กรอบ SMART Excise พร้อม “ฝากการบ้าน” ให้อธิบดีคนใหม่สานต่อ โดยมี 3 ภาษีสำคัญที่อยู่ระหว่างการศึกษา ได้แก่ ภาษีความเค็ม, ภาษีแบตเตอรี่, และ การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่
แต่ละเรื่องล้วนมีผลต่อทั้งรายได้รัฐ สุขภาพสังคม และทิศทางอุตสาหกรรมในอนาคต
1.ภาษีความเค็ม โครงการที่กรมสรรพสามิตผลักดันต่อเนื่องคล้ายกับภาษีความหวาน มุ่งหวังปรับพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดปัญหาสุขภาพ มากกว่าการหารายได้ภาษี แม้การหารือกับผู้ประกอบการและหน่วยงานรัฐคืบหน้าไปมาก แต่ยังต้องตกผลึกในรายละเอียดเพื่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อสังคมโดยไม่สร้างภาระเกินจำเป็น
2.ภาษีแบตเตอรี่ การปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหม่สอดรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาด โดยกำหนดอัตราภาษีตามคุณสมบัติของแบตเตอรี่ หากเป็นแบบชาร์จซ้ำได้ น้ำหนักเบา ความจุสูง จะได้สิทธิภาษีต่ำกว่า เพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการรีไซเคิล
3.การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ประเด็นละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายด้าน โดยมาตรฐานสากลนิยมใช้ระบบอัตราภาษีเดียว (Single Rate) แต่ไทยยังคงใช้สองอัตรา การปฏิรูปครั้งนี้จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่อธิบดีคนใหม่ต้องหาสมดุลระหว่างสุขภาพสาธารณะ รายได้รัฐ และความอยู่รอดของผู้ประกอบการ
สำหรับผลงาน“กุลยา” ภายใต้ SMART Excise ตลอดปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตต้องเผชิญทั้งแรงกดดันด้านรายได้และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แต่ก็สามารถจัดเก็บภาษีได้ 489,564 ล้านบาท ในรอบ 11 เดือน เพิ่มขึ้น 1.61% จากปีก่อน และมั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายทั้งปีที่ 535,000 ล้านบาท
มาตรการสำคัญที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ได้แก่
นอกจากนี้ กรมยังวางรากฐาน กลไกราคาคาร์บอน ในภาษีน้ำมัน กำหนดราคา 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมหันสู่แนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามเป้า Net Zero ปี 2065
ด้านยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการ EV3 และ EV3.5 ทำให้ยอดจดทะเบียนสะสมเพิ่มเป็น รถยนต์ไฟฟ้า 233,802 คัน และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 71,667 คัน พร้อมเงื่อนไขการผลิตชดเชยที่เข้มงวดขึ้น หากผู้ประกอบการไม่ผลิตตามแผน จะต้องคืนเงินอุดหนุนและชำระส่วนต่างภาษี
ดังนั้น โจทย์ที่รออยู่บนโต๊ะของ ‘พรชัย ฐีรเวช’จึงไม่ใช่เพียงการรักษารายได้ภาษีตามเป้า แต่ยังรวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบโจทย์สุขภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลระหว่างภาระของผู้บริโภคและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,134 วันที่ 25 - 27 กันยายน พ.ศ. 2568