ยักษ์เซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ เตรียมขยายลงทุนผลิตชิปในไทย

01 ต.ค. 2568 | 04:27 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2568 | 04:27 น.

บีโอไอเผยลูเมนตั้มยักษ์เซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ เตรียมขยายการลงทุนผลิตชิปในไทย จัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปแห่งใหม่ หนุนไทบขึ้นแท่นชิปเมดอินไทยแลนด์

KEY

POINTS

  • ลูเมนตั้ม (Lumentum) บริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่จากสหรัฐฯ ประกาศขยายฐานการผลิตและจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปโฟโตนิกส์แห่งใหม่ในไทย
  • การลงทุนมุ่งเน้นการผลิตชิปโฟโตนิกส์ ซึ่งเป็นชิปประมวลผลขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI, ไฟเบอร์ออปติก และดาต้าเซ็นเตอร์
  • การขยายการลงทุนครั้งนี้จะช่วยยกระดับบทบาทของไทยจากการเป็นฐานประกอบและทดสอบชิป ไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการออกแบบและสร้างนวัตกรรมเซมิคอนดักเตอร์
  • ศูนย์วิจัยและออกแบบแห่งใหม่จะสร้างงานให้กับบุคลากรทักษะสูง และเกิดความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาไทยเพื่อพัฒนาบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมชิปแห่งอนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า ลูเมนตั้ม (Lumentum) บริษัทนาดใหญ่ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐอเมริกามีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตและการจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปแห่งใหม่ในกลุ่มชิปประเภทโฟโตนิกส์ ซึ่งเป็นชิประดับสูงที่ใช้ในการส่งสัญญาณด้วยแสงและเป็นส่วนประกอบสำคัญของหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโลกที่ต้องการนวัตกรรมการผลิตชิปที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี AI ไฟเบอร์ออปติก และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันตลาดชิปโฟโตนิกส์มีมูลค่ากว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายใน 5 ปี เนื่องจากโฟโตนิกส์เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

“ลูเมนตั้มประกาศแผนลงทุนขยายฐานผลิตชิปประเภทโฟโตนิกส์ รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปแห่งใหม่ ยกระดับฐานธุรกิจในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีชิปที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูงและประหยัดพลังงาน เร่งสปีดรองรับความต้องการชิปในอุตสาหกรรมไฮเทคต่าง ๆ และสนุบสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทย”

ทั้งนี้ ลูเมนตั้มได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเพื่อจัดตั้งฐานการประกอบและทดสอบชิปที่ใช้ในอุตสาหกรรมการสื่อสารและโทรคมนาคมในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2560 ภายใต้ชื่อบริษัท ลูเมนตั้ม อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัดตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี มูลค่าลงทุนรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 6,000 คน 

ยักษ์เซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ เตรียมขยายลงทุนผลิตชิปในไทย

โดยในจำนวนนี้มีวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์กว่า 700 คน ซึ่งได้รับการฝึกอบรมอย่างดีเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมชิปโฟโตนิกส์ บริษัทมีการส่งออกผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาทในปี 2567 และคาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 2 เท่าในปีนี้ 

ซึ่งโครงการล่าสุดที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอ เป็นการขยายโรงงานผลิตชิปแหล่งกำเนิดแสงที่มีพลังงานสูง (Ultra-High-Power Chip-on-Carrier) เงินลงทุนกว่า 2,300 ล้านบาท ชิปดังกล่าวจะถูกใช้ในอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูงหรือต้องการกำลังการประมวลผลสูง เช่น หน่วยประมวลผลสำหรับ AI (GPU) อุปกรณ์ตรวจจับด้วยเลเซอร์ที่ใช้ในเครื่องมือแพทย์ และยานยนต์อัจฉริยะ เป็นต้น 

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาลูเมนตั้มยังมีส่วนในการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจในอุตสาหกรรมชิปโฟโตนิกส์ในประเทศไทย โดยการดึงซัพพลายเออร์ระดับโลกให้ตามเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยอีกกว่า 20 ราย

“ลูเมนตั้ม ถือเป็นพันธมิตรที่ช่วยวางรากฐานอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทย การประกาศแผนขยายการลงทุนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปเต็มรูปแบบแห่งแรกในไทย ถือเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์และเป็นก้าวที่มีความสำคัญอย่างมากต่อประเทศไทย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย และจะช่วยยกระดับบทบาทของไทยจากเดิมที่เป็นผู้ประกอบและทดสอบชิป ให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้ออกแบบและสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายชิปเมดอินไทยแลนด์"

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า การจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปโฟโตนิกส์ของลูเมนตั้ม จะมีการลงทุนทั้งในสายการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) ห้องปฏิบัติการทดสอบความเสถียรผลิตภัณฑ์ (Reliability Test) และซอฟต์แวร์ขั้นสูงโดยจะสร้างงานให้กับวิศวกรและบุคลากรทักษะสูงของไทย 

รวมถึงจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของไทย เพื่อจัดทำหลักสูตรเทคโนโลยีชิปโฟโตนิกส์โดยเฉพาะ เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ให้รองรับอุตสาหกรรมชิปแห่งอนาคต

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นฐานการผลิตชิปโฟโตนิกส์แห่งเดียวของบริษัทในภูมิภาคอาเซียน ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับลูเมนตั้มในครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะช่วยให้ไทยขยับจากฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่เดิม ไปสู่การผลิตชิปยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูง รวมทั้งจะเป็นโอกาสในการสร้างคลัสเตอร์ชิปโฟโตนิกส์ และดึงดูดซัพพลายเออร์ระดับโลกเข้ามาในประเทศในอนาคต