ส.อ.ท.จี้รัฐเร่งแก้ปม ‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ เตือน ก่อนถูกลดเครดิต

30 ก.ย. 2568 | 09:09 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2568 | 09:09 น.

ส.อ.ท.จี้รัฐบาลเร่งแก้ปม ‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ เตือน หลังปรับแนวโน้มเป็นเชิงลบ ทั้งหนี้ึครัวเรีอน หนี้สาธารณะ ก่อนถูกลดเครดิต

KEY

POINTS

  • ส.อ.ท. ชี้ว่าการที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยเป็น "ลบ" (Negative) เป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
  • ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ฟิทช์กังวลคือความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบวินัยการคลัง และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด
  • ส.อ.ท. เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งสร้างเสถียรภาพทางการคลัง จัดการสัดส่วนหนี้ และดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงกรณีที่ Fitch Ratings ประกาศปรับมุมมอง (Outlook) ของไทยจาก Stable เป็น Negative โดยยังคงอันดับเครดิตที่ BBB+ ว่า กรณีดังกล่าวเสมือนเป็นการเตือนประเทศไทยว่า เริ่มเห็นสัญญาณที่ไม่ดีในอนาคต ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้

ทั้งนี้ สัญญาณดังกล่าวสอดคล้องกับที่สภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) และที่ประชุมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เคยเสนอแนะไว้ทุกประการอยู่เสมอ ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะที่เพิ่มมากขึ้น

โดยการที่ฟิทช์ยังไม่ลดอันดับเรทติ้งส์ก็เพราะ ฐานะทางการเงิน และเงินตราระหว่างประเทศยังเป็นกระแสบวก หรือเรียกว่ายังมีค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

อีกทั้งแม้ว่าหนี้สาธารณะของไทยจะเริ่มสูงขึ้นใกล้แตะเพดานการก่อหนี้โดยรวม และยังจะมีก่อหนี้เพิ่ม แต่ยังถือว่าโชคดีที่หนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้ในประเทศ ไม่ใช่หนี้จากต่างประเทศ

และต้นทุนของหนี้สาธารณะไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-7% ซึ่งถือว่าดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9.2%

ส.อ.ท.จี้รัฐเร่งแก้ปม ‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ เตือน ก่อนถูกลดเครดิต

อย่างไรก็ดี การติงว่าสภาวะการคลังในระยะยาวต้องดูแล ต้องแก้ไขปัญหา และการแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือน หรือหนี้ต่างๆจำเป็นที่ต้องได้รับการดูแล เป็นการปรับมุมมองเหมือนกับในเพิ่งปรับกลับมาของ S&P ไม่ได้ปรับเรทติ้งไทย แต่เป็นการปรับมุมมองเป็นแนวโน้ม เหมือนกับเป็นสัญญาณเตือน

“มุมมองดังกล่าวของฟิทช์ เรทติ้งส์ เป็นการเตือนเหมือนที่ภาคเอกขนได้มีการสะท้อนไว้ก่อนหน้านี้ หรือเรียกว่าสรุปแล้วมุมมองทั้งคนในประเทศและต่างประเทศเป็นมุมเดียวกัน ฉะนั้น ต้องรีบเร่งในการพัฒนาให้จากมีเสถียรภาพเป็นเชิงลบให้กับมามีเสถียรภาพ เพราะหากไม่ปรับในระยะยาวไทยก็มีโอกาสถูกปรับเรทติ้งส์ได้ แค่ตอนนี้ยังไม่ปรับ แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยง”

นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า แนวทางการแก้ไขหลังจากนี้นั้น มองว่านโยบายของกระทรวงการคลังในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการใช้งบประมาณจะต้องทำให้ดูมีเสถียรภาพ และรักษาสัดส่วนของหนี้สาธารณะ โดยต้องแก้ตามที่ฟิทช์ เรทติ้งส์แนะนำ มีมุมมองตรงไหนที่เป็นเชิงลบก็รีบเข้าไปแก้ไข เพราะอย่างที่เรียนไว้ว่าฟิทช์ฯยังมองแนวโน้มไทยเข้มแข็งในเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ฟิทช์ระบุถึงเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่จะกระทบฐานะการคลัง โดยการเมือง หรือพรรคการเมืองมีความไม่แน่นอน ซึ่งบางครั้งมีการก่อหนี้ มีการใช้มาตรการที่เป็นประนิยม ซึ่งในมุมมองของต่างชาติเห็นว่าไม่ใช่วิธีที่ดี 

และเรื่องอุปสงค์ของโลกที่ชะลอตัวกดดันการเติบโต เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกมาก อีกทั้งปัจจุบันยังถูกภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และเรื่องความสามารถในการแข่งขันต่างๆ โดยมุมมองดังกล่าวอาจรวมไปถึงว่า ไทยพึ่งพาต่างชาติมาก แต่มีแต้มต่อน้อย เช่น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยปีนี้แทนที่จะฟื้นตัวได้ดี 

แต่จากหกเดือนที่ผ่านมายอดนักท่องเที่ยวจีนหายไปในครึ่งปีแรก 35-40% แม้จะได้ประเทศอื่น ยุโรป อินเดีย อิสราเอลและรัสเซียมาเพิ่ม แต่ในแง่ของจำนวนถือว่าครึ่งปีแรกก็ยังติดลบไปประมาณ 6% 

ขณะที่ในครึ่งปีหลังยังมีสภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก เพราะฉะนั้นก็จะทำให้เป้าหมายของไทย จากเดิมที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางไว้ประมาณ 40 ล้านคน ล่าสุดมีการปรับตัวเลขใหม่เหลือแค่ 34 ล้านคนเศษ เพราะฉะนั้นเรื่องดังกล่าวนี้ก็จะเป็นสัญญาณเตือนอีกประเด็นหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังมีหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงเกือบ 90% แม้ว่าช่วงไตรมาสที่ 1-2 จีดีพี (GDP) ของไทยจะดีขึ้น ขยายตัวขึ้นว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งมีผลทำให้หนี้ภาคครัวเรือนต่อสัดส่วนไม่ไปแตะ 90% เหลือ 87.5-88% แต่เมื่อเทียบแล้วก็ยังถือว่าสูงมาก ก็เป็นแนวโน้มที่ฟิทช์ปรับประมาณการณ์จีดีพีไทยปี 68 อยู่ทีประมาณ 2.2% ส่วนปี 69 อยู่ที่ 1.9% โดยนะบุว่าค่ากลางกลุ่มเครดิต BBB+ จะอยู่ที่ประมาณ 2.7% 

“สิ่งที่จะต้องรีบเร่งแก้ไขตามที่ฟิทช์ฯมีการให้หัวข้อให้เหตุผลมา เป็นโจทย์ของรัฐบาลใหม่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจต้องนำมาเป็นปัจจัยสำคัญ”

นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ภาคเอกชนมองว่าแนวโน้มที่ฟิทช์ระบุมา ส.อ.ท. ได้เสนอกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวข้องกับการส่งออก และการท่องเที่ยวคือค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป หากมีการแก้ไขก็ควรจะแก้ให้เป็นไปในระบบเดียวกัน