sustainable

‘TIPMSE’ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วสร้างมูลค่า-ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

In Brief

  • TIPMSE ภายใต้ ส.อ.ท. ดำเนินการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วตามหลักการ EPR เพื่อเปลี่ยนให้เป็นวัตถุดิบ สร้างมูลค่าเพิ่มตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
  • ผลักดันมาตรการจูงใจด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี พร้อมส่งเสริมการออกแบบเพื่อรีไซเคิล (D4R) และการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) โดยร่วมมือกับเครือข่ายกว่า 149 องค์กร
  • วางแผนดำเนินการ 4 ด้านเพื่อพัฒนาระบบเก็บคืนบรรจุภัณฑ์เข้าระบบรีไซเคิล ซึ่งรวมถึงการพัฒนากลไกและกฎหมาย EPR ที่เหมาะสมกับประเทศไทย และสร้างต้นแบบการจัดเก็บ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) ได้ดำเนินการจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนด้วยหลัก EPR (Extended Producer Responsibility) ภายใต้ พ.ร.บ.การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน

โดยเป็นการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วให้กลับมาเป็นวัตถุดิบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะมีการผลักดันมาตรการจูงใจ ด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี สร้างกลไกตลาด การส่งเสริม Design for Recycle (D4R) การใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายกว่า 149 องค์กร และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  กว่า 16,000 ราย โดยส.อ.ท. มีเป้าหมายในการเร่งยกระดับอุตสาหกรรมเดิมและพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable  Development Goals: SDGs) 

สอดรับกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความท้าทายระดับโลก (Global Challenges) โดยไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) 

‘TIPMSE’ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วสร้างมูลค่า-ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

“กลไก EPR ของไทย ขณะนี้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน โดย TIPMSE ภายใต้ ส.อ.ท. ได้เตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกที่มีอยู่กว่า 16,000 ราย เข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน”

TIPMSE ได้วางแผนดำเนินการใน 4 ด้าน เพื่อพัฒนาการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์เข้าสู่ระบบรีไซเคิล  ประกอบด้วย  

  • พัฒนากลไก EPR ที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อพัฒนาร่างกฎหมาย รวมถึงร่วมกับองค์กรในและต่างประเทศ ทำระบบจัดการข้อมูล EPR รวมถึงซากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และคำนวณค่าธรรมเนียม (EPR Fee) และโครงสร้างขององค์กรรับผิดชอบการจัดการบรรจุภัณฑ์ (Producer Responsibility Organization : PRO) 
  • พัฒนาระบบเก็บกลับ เพื่อให้เกิดต้นแบบการจัดเก็บตามหลักการ EPR โดยได้นำร่องในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ในโครงการ Packback: Chonburi CE City Model และถอดบทเรียน โดยปีนี้มีแผนยกระดับความร่วมมือในการทดลอง Voluntary PRO และศึกษาวิธีทำงานร่วมกันของ PRO หน่วยงานท้องถิ่น และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 
  • สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยขยายความร่วมมือกับองค์กรที่เป็นศูนย์รวมของกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนตลอดเส้นทางห่วงโซ่คุณค่าของบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้เป็นกลไกเครือข่ายการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” หรือ EPR Network
  • พัฒนาองค์ประกอบอื่นๆ ผลักดันให้เกิดแนวคิดการออกแบบเพื่อการรีไซเคิล (Design for Recycle) ที่จะช่วยให้บรรจุภัณฑ์กลับมาเป็นวัตถุดิบได้ รวมถึงการพัฒนามาตรการจูงใจเพื่อสนับสนุน EPR เช่น ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อดึงดูดให้ใช้ PCR จากแหล่งที่มาภายในประเทศมาใช้ การออกใบรับรองหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน (EPR Certification) ที่จะเข้ามาช่วยให้ทุกฝ่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมได้รับประโยชน์จากการทำงาน เพื่อใช้ในการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์

‘TIPMSE’ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วสร้างมูลค่า-ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

นายโฆษิต สุขสิงห์ รองประธานส.อ.ท. และประธาน TIPMSE กล่าวว่า สถาบันฯ มีเป้าหมายผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นวัตถุดิบซึ่งเป็นเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง ภายใต้ความร่วมมือของภาคีเครือข่าย EPR Network ที่ขยายจากเดิมกว่า 149 หน่วยงาน มาสู่องค์กรศูนย์กลาง ที่ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนทั้งการกระจายข่าวสาร ข้อมูลและความรู้ และผลักดันให้บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 

อย่างไรก็ดี แนวทางดังกล่าว มุ่งเน้นการส่งเสริมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ควบคู่กับการสื่อสารสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สังคม ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม 

“เครือข่ายยังต้องทำงานอย่างต่อเนื่องและขยายการสื่อสารเรื่อง EPR ไปยังองค์กรสมาชิกให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น”