ผ่างบฯ 2.8 หมื่นล้าน 'ค่าหย่อนบัตร' ขับเคลื่อนประชาธิปไตยไทยรอบ 20 ปี

30 ก.ย. 2568 | 07:21 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2568 | 07:41 น.

ย้อนร้อย 20 ปี ประชาธิปไตยไทย รู้ไหมว่าใช้งบเลือกตั้ง-ทำประชามติ มาแล้วกว่า 28,000 ล้านบาท! เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไม 'บวรศักดิ์' เสนอกลยุทธ์มัดรวมหย่อนบัตร 4 ใบ ในการจัดเลือกตั้งสส.ครั้งหน้า

KEY

POINTS

  • ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2548-2568) ประเทศไทยใช้งบประมาณรวมกว่า 28,000 ล้านบาท สำหรับการจัดการเลือกตั้งและการทำประชามติ
  • ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง สส. หนึ่งครั้งมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยใช้งบประมาณเกือบ 6,000 ล้านบาทในการเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุด
  • มีการเสนอแนวคิดให้ควบรวมการเลือกตั้ง สส. กับการทำประชามติในประเด็นสำคัญ 2 เรื่องในวันเดียวกัน เพื่อประหยัดงบประมาณที่อาจสูงถึง 6,000 ล้านบาทต่อครั้ง

"การทำประชามติแยกแต่ละครั้งใช้งบสูงถึง 6,000 ล้านบาท" นี่คือเหตุผลเชิงการคลังอันหนักอึ้งที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ยกขึ้นมานำเสนอต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อ 29 ก.ย.68 ในช่วงหนึ่งของการชี้แจงถึงแนวทางใหม่ในการจัดการกับภารกิจระดับชาติที่มีต้นทุนสูงสองประการพร้อมกัน

แนวคิดที่ถูกเสนอคือการควบรวมการลงประชามติสำคัญเข้ากับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หลังการยุบสภา เพื่อเป็นการ "ประหยัดงบประมาณ"

ปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์นี้จะทำให้ประชาชนได้รับบัตรเลือกตั้งพร้อมกันถึง 4 ใบ ในวันลงคะแนนเดียว

  1. บัตรเลือกตั้ง สส. เขต
  2. บัตรเลือกตั้ง สส. บัญชีรายชื่อ
  3. บัตรประชามติว่าประชาชนเห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
  4. บัตรประชามติสอบถามว่าควรยกเลิก MOU ไทย–กัมพูชาหรือไม่

การเสนอแนวคิดและนำไปสู่การตัดสินใจที่จะรวมการลงคะแนนทั้งหมดไว้ในคราวเดียวนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักของรัฐบาลต่อภาระทางการเงินที่ประเทศแบกรับมาอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ทำให้ต้องมีการจัดกิจกรรมระดับชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า

งบฯหย่อนบัตรกว่า 28,000 ล้านบาทในสองทศวรรษ

ฐานเศรษฐกิจ รวบรวมข้อมูลจากมติคณะรัฐมนตรี โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ย้อนกลับไปในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา พ.ศ. 2548 ถึง 2568 การจัดการหย่อนบัตร ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางประชาธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป หรือ เลือกตั้งใหญ่ การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และการทำประชามติหลายครั้ง พบว่ามีการประมาณการว่า เกินกว่า 28,000 ล้านบาท

ตัวเลขที่มหาศาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามปกติ แต่เป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญถึงค่าใช้จ่ายที่ผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยวิกฤตการณ์ทางการเมืองและการเลือกตั้งซ้ำซ้อน

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการจัดการเลือกตั้ง สส. หนึ่งครั้งในยุคหลังได้สร้างฐานต้นทุนใหม่ที่สูงลิ่ว โดยสำหรับการเลือกตั้ง สส. ปี 2562 มีงบประมาณเกิน 5,800 ล้านบาท

และสำหรับการเลือกตั้ง สส. ในปี 2566 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณรวมทั้งสิ้น 5,945,161,000 บาท

ตัวเลขที่ใกล้เคียง 6 พันล้านบาทนี้บ่งชี้ว่า ต้นทุนการดำเนินงานพื้นฐานสำหรับการเลือกตั้งระดับประเทศในปัจจุบันถูกกำหนดไว้อย่างมั่นคงแล้ว

ปฏิบัติการขนาดใหญ่นี้ต้องใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินงานข้ามหน่วยงานที่ซับซ้อน เช่น

  • งบประมาณในการขนส่งบัตรและวัสดุโดย บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ถึง 260 ล้านบาท
  • งบประมาณในการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 104.5 ล้านบาท
  • งบประมาณสำหรับกระทรวงการต่างประเทศ ในการจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร 125 ล้านบาท

ความท้าทายของ 'ด่านราคาแพงของรัฐธรรมนูญ'

ในขณะที่การเลือกตั้ง ส.ส. มีต้นทุนพื้นฐานใกล้ 6 พันล้านบาท การออกเสียงประชามติก็ถือเป็น "ค่าใช้จ่ายเชิงวิกฤต" ที่มีราคาสูงเช่นกัน

รัฐบาลเคยอนุมัติงบประมาณก้อนใหญ่ถึง 3,200 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการทำประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจเกิดขึ้น 3 ครั้ง ซึ่งหมายถึงต้นทุนโดยนัยของการทำประชามติระดับชาติหนึ่งครั้งอยู่ที่ประมาณ 1.06 พันล้านบาท

หากรัฐบาลจัดทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่และการยกเลิก MOU ไทย–กัมพูชา แยกจากวันเลือกตั้ง สส. อาจต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นกว่า 2,000 ล้านบาท หรืออาจสูงถึง 6,000 ล้านบาทตามที่รองนายกฯ บวรศักดิ์ระบุไว้ 

ในทางตรงกันข้าม การคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ในปี 2567 ซึ่งใช้ระบบ "เลือกกันเอง" (self-selection) ที่ไม่ได้มีการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยตรง กลับใช้งบประมาณเพียง 227 ล้านบาท เท่านั้น

ตัวเลขที่ต่างกันอย่างมหาศาลนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่า การดำเนินการใดก็ตามที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในวงกว้าง เช่น การเลือกตั้ง สส. ย่อมมีต้นทุนสูงกว่าหลายสิบเท่า

บทสรุปทางการเงิน 20 ปี: การรวมยอดและการวิเคราะห์แนวโน้ม

เพื่อให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ที่สุดของภาระทางการเงินที่ประเทศแบกรับในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา รายงานนี้ได้รวบรวมตัวเลขงบประมาณที่ได้รับการยืนยันและที่มาจากการประมาณการอย่างรอบคอบ

สรุปค่าใช้จ่ายสำคัญในการจัดการกระบวนการประชาธิปไตยระดับชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2548 – 2568)

  • 2567 เลือก สว. (เลือกกันเอง) 227 ล้านบาท
  • 2566 เลือก สส. ทั่วไป 5,945,161,000 บาท 
  • 2562 เลือก สส. ทั่วไป 5,800 ล้านบาท
  • 2559 ประชามติ (ร่าง รธน. 60)1,200 ล้านบาท
  • 2557 เลือก สส. (โมฆะ) 4,000 ล้านบาท 
  • 2554 เลือก สส. ทั่วไป 4,500 ล้านบาท
  • 2550 เลือก สส. ทั่วไป 3,800 ล้านบาท 
  • 2550 ประชามติ (ร่าง รธน. 50) 1,000 ล้านบาท
  • 2549 เลือก สส. (โมฆะ) 2,500 ล้านบาท
  • 2548 เลือก สส. ทั่วไป 3,500 ล้านบาท

รวมโดยประมาณ 20 ปี การจัดการเลือกตั้ง สส. , สว. และทำประชามติ ใช้งบประมาณกว่า 28,000 ล้านบาท

ดังนั้น แนวทาง "4 บัตร" ที่นายบวรศักดิ์ นำเสนอนั้น จึงเป็นความพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากต้นทุนพื้นฐานการเลือกตั้ง สส. ที่เกือบ 6 พันล้านบาทอยู่แล้ว เพื่อรวมภารกิจที่มีต้นทุนสูงและมีความสำคัญต่อชาติ คือ การทำประชามติเข้ามาไว้ด้วยกัน

ซึ่งนอกจากจะเป็นการ ประหยัดงบประมาณ แล้ว ยังเป็นการขอฉันทานุมัติจากประชาชนในประเด็นสำคัญ เช่น เรื่อง MOU ไทย–กัมพูชา ที่รัฐบาลเห็นว่าไม่ควรตัดสินใจเองอีกด้วย