KEY
POINTS
"การทำประชามติแยกแต่ละครั้งใช้งบสูงถึง 6,000 ล้านบาท" นี่คือเหตุผลเชิงการคลังอันหนักอึ้งที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ยกขึ้นมานำเสนอต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อ 29 ก.ย.68 ในช่วงหนึ่งของการชี้แจงถึงแนวทางใหม่ในการจัดการกับภารกิจระดับชาติที่มีต้นทุนสูงสองประการพร้อมกัน
แนวคิดที่ถูกเสนอคือการควบรวมการลงประชามติสำคัญเข้ากับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หลังการยุบสภา เพื่อเป็นการ "ประหยัดงบประมาณ"
ปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์นี้จะทำให้ประชาชนได้รับบัตรเลือกตั้งพร้อมกันถึง 4 ใบ ในวันลงคะแนนเดียว
การเสนอแนวคิดและนำไปสู่การตัดสินใจที่จะรวมการลงคะแนนทั้งหมดไว้ในคราวเดียวนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักของรัฐบาลต่อภาระทางการเงินที่ประเทศแบกรับมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ทำให้ต้องมีการจัดกิจกรรมระดับชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฐานเศรษฐกิจ รวบรวมข้อมูลจากมติคณะรัฐมนตรี โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ย้อนกลับไปในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา พ.ศ. 2548 ถึง 2568 การจัดการหย่อนบัตร ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางประชาธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป หรือ เลือกตั้งใหญ่ การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และการทำประชามติหลายครั้ง พบว่ามีการประมาณการว่า เกินกว่า 28,000 ล้านบาท
ตัวเลขที่มหาศาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามปกติ แต่เป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญถึงค่าใช้จ่ายที่ผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยวิกฤตการณ์ทางการเมืองและการเลือกตั้งซ้ำซ้อน
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการจัดการเลือกตั้ง สส. หนึ่งครั้งในยุคหลังได้สร้างฐานต้นทุนใหม่ที่สูงลิ่ว โดยสำหรับการเลือกตั้ง สส. ปี 2562 มีงบประมาณเกิน 5,800 ล้านบาท
และสำหรับการเลือกตั้ง สส. ในปี 2566 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณรวมทั้งสิ้น 5,945,161,000 บาท
ตัวเลขที่ใกล้เคียง 6 พันล้านบาทนี้บ่งชี้ว่า ต้นทุนการดำเนินงานพื้นฐานสำหรับการเลือกตั้งระดับประเทศในปัจจุบันถูกกำหนดไว้อย่างมั่นคงแล้ว
ปฏิบัติการขนาดใหญ่นี้ต้องใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินงานข้ามหน่วยงานที่ซับซ้อน เช่น
ในขณะที่การเลือกตั้ง ส.ส. มีต้นทุนพื้นฐานใกล้ 6 พันล้านบาท การออกเสียงประชามติก็ถือเป็น "ค่าใช้จ่ายเชิงวิกฤต" ที่มีราคาสูงเช่นกัน
รัฐบาลเคยอนุมัติงบประมาณก้อนใหญ่ถึง 3,200 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการทำประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจเกิดขึ้น 3 ครั้ง ซึ่งหมายถึงต้นทุนโดยนัยของการทำประชามติระดับชาติหนึ่งครั้งอยู่ที่ประมาณ 1.06 พันล้านบาท
หากรัฐบาลจัดทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่และการยกเลิก MOU ไทย–กัมพูชา แยกจากวันเลือกตั้ง สส. อาจต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นกว่า 2,000 ล้านบาท หรืออาจสูงถึง 6,000 ล้านบาทตามที่รองนายกฯ บวรศักดิ์ระบุไว้
ในทางตรงกันข้าม การคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ในปี 2567 ซึ่งใช้ระบบ "เลือกกันเอง" (self-selection) ที่ไม่ได้มีการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยตรง กลับใช้งบประมาณเพียง 227 ล้านบาท เท่านั้น
ตัวเลขที่ต่างกันอย่างมหาศาลนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่า การดำเนินการใดก็ตามที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในวงกว้าง เช่น การเลือกตั้ง สส. ย่อมมีต้นทุนสูงกว่าหลายสิบเท่า
บทสรุปทางการเงิน 20 ปี: การรวมยอดและการวิเคราะห์แนวโน้ม
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ที่สุดของภาระทางการเงินที่ประเทศแบกรับในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา รายงานนี้ได้รวบรวมตัวเลขงบประมาณที่ได้รับการยืนยันและที่มาจากการประมาณการอย่างรอบคอบ
รวมโดยประมาณ 20 ปี การจัดการเลือกตั้ง สส. , สว. และทำประชามติ ใช้งบประมาณกว่า 28,000 ล้านบาท
ดังนั้น แนวทาง "4 บัตร" ที่นายบวรศักดิ์ นำเสนอนั้น จึงเป็นความพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากต้นทุนพื้นฐานการเลือกตั้ง สส. ที่เกือบ 6 พันล้านบาทอยู่แล้ว เพื่อรวมภารกิจที่มีต้นทุนสูงและมีความสำคัญต่อชาติ คือ การทำประชามติเข้ามาไว้ด้วยกัน
ซึ่งนอกจากจะเป็นการ ประหยัดงบประมาณ แล้ว ยังเป็นการขอฉันทานุมัติจากประชาชนในประเด็นสำคัญ เช่น เรื่อง MOU ไทย–กัมพูชา ที่รัฐบาลเห็นว่าไม่ควรตัดสินใจเองอีกด้วย