เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้อนุมัติร่างคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา พร้อมมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานการดำเนินงาน โดยจัดทำเป็นเอกสารความยาวกว่า37 หน้า เพื่อแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 29-30 กันยายน 2568
หลังแถลงนโยบายเสร็จ นายอนุทินได้นัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษทันทีในวันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 เพื่ออนุมัติการผูกพันงบกลางเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินที่เหลืออยู่ 63,000 ล้านบาท มาใช้สำหรับการดำเนินนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า หากรัฐบาลสามารถปลดล็อกการใช้เงินงบกลางได้ทันกำหนด ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ คาดว่า วงเงินงกลางดังกล่าวจะนำลงไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลที่เตรียมแถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะโครงการด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีโครงการสำคัญคือการฟื้น “คนละครึ่ง” กลับมากระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนอีกครั้งในช่วงปลายปี
ขณะเดียวกันยังมีนโยบายด้านอื่นๆ เช่น การลดรายจ่ายที่สามารถนำเงินงบกลางมาใช้ได้ ทั้งการลดราคาค่าพลังงาน ค่าโดยสาร และการลดค่าทางด่วน ด้วยแต่ทั้งหมดก็อยู่ที่รัฐบาลจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่า การผลักดันงบประมาณที่เหลืออยู่จะสามารถผลักดันออกมาได้อย่างไร เพราะการดำเนินการจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับนโยบายสำคัญที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและคืนความเชื่อมั่น มีดังต่อไปนี้
1. สร้างรายได้และลดรายจ่าย ให้กับประชาชนในชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง พร้อมจัดทำโครงการคนละครึ่ง และบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้เหมาะสม
2. แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง โดยช่วยเหลือหนี้รายบุคคลในระบบรายละไม่เกิน 1 แสนบาท และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท
3. เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย ให้สิทธิซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวก และพัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม
4. ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัย การอำนวยความสะดวก และปราบปรามการฉ้อโกง พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองและดึงดูดชาวต่างชาติให้พำนักในไทยระยะยาว
5. เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า ด้วยการจัดตั้งทีมไทยแลนด์เพื่อยกระดับการค้าเสรีและเปิดตลาดใหม่ ผลักดันให้ไทยเป็นสมาชิก OECD และสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัยในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ดิจิทัล, ปัญญาประดิษฐ์, เซมิคอนดักเตอร์, ยานยนต์สมัยใหม่
6. เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ด้วยแนวทางสันติภาพ รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทย รวมถึงดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูต และจะทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างไทย-กัมพูชา
7. เร่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยปรับแนวทางการดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ควบคู่กับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิต
8.ปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง และไม่สนับสนุนให้มีธุรกิจการพนันทุกชนิดเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย หรือไม่สนับสนุนเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีธุรกิจการพนัน
9. รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าการละเว้นการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานรัฐในการปราบปรามยาเสพติด การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ หรือการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เป็นความผิดทางวินัยร้ายแรงและต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด
10. ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง โดยร่วมมือกับ ป.ป.ช., ป.ป.ท. ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
11. พิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น โดยดำเนินมาตรการป้องกันและขจัดการบ่อนทำลาย
12. เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติ ในพื้นที่เสี่ยงสูง และเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ
13. ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า และป้องกัน/ลดการเผาในภาคการเกษตรเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
14. เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ควบคู่กับการผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเปิดของภาครัฐ
15. เร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ (Guillotine) โดยยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและสร้างภาระที่ไม่จำเป็นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ และริเริ่มเสนอกฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นโครงการที่เคยดำเนินการมาก่อนแล้ว แต่จะมีการปรับรูปแบบโดยคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ด้วยการให้ประชาชนที่อยู่ในระบบภาษีได้สิทธิประโยชน์มากกว่า
ทั้งนี้ ตนได้มีการหารือนอกรอบกับปลัดกระทรวงการคลังแล้ว ยืนยันว่าจะได้เห็นโครงการคนละครึ่ง พลัส ในเดือนต.ค.68 แน่นอน ซึ่งจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนต.ค.68 ยืนยันว่า จะใช้งบประมาณเดิมที่มีอยู่
“การเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส จะใช้งบประมาณที่มีอยู่ ส่วนวงเงินเท่าใด และรูปแบบอย่างไรนั้น ต้องหารือรายละเอียดร่วมกันอีกครั้ง โดยจะเสนอครม.แน่นอน ในสัปดาห์ที่ 2 ตอนนี้ได้มีการหารือนอกรอบกับปลัดกระทรวงการคลังแล้ว”
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับการผลักดันนโยบายของกระทรวงคมนาคมภายในระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาลใหม่นั้น เบื้องต้นได้ชูแนวทางการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางให้เป็นมาตรการหลัก
โดยเฉพาะการเดินทางผ่านรถโดยสารร้อนและรถโดยสารปรับอากาศ การลดค่าทางด่วนแต่ละเส้นทาง ตลอดจนการพิจารณาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายอื่นๆ 40 บาทตลอดวัน นอกจากรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถไฟฟ้าสีม่วง
“รัฐบาลนี้ต้องการแบ่งเบาภาระประชาชนทั้งกรุงเทพนและปริมณฑล ซึ่งแนวทางข้างต้นจะนำมาพิจารณาด้วย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากมีการแถลงนโยบายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการให้รวดเร็ว” นายพิพัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่กระทรวงคมนาคมผลักดันที่จะเสนอต่อครม. และเปิดประมูล วงเงินรวม 1.37 ล้านล้านบาท ส่วนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ก็จะถูกนำมาหารือในครม. อีกครั้ง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการต่อยอดให้ครอบคลุมสายอื่นๆ และสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ภารกิจเร่งด่วนในการกระตุ้นการท่องเที่ยว คือ การฟื้นฟูความเชื่อมั่น ด้านการท่องเที่ยวว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสากล
รวมทั้งวางแผนสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยมีสัญลักษณ์ (Symbol) หรือข้อความ (Message) เดียวกัน เพื่อสื่อสารอย่างชัดเจนต่อนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดหลักหรือจังหวัดรอง
"ภารกิจเร่งด่วนในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว โดยสร้างภาพลักษณ์ว่าประเทศไทยปลอดภัยและได้มาตรฐานสากล มุ่งเน้นตลาดเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และตะวันออกกลางรัฐบาลจะฟื้นฟู รวมถึงการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยมีแนวโน้มที่จะนำโครงการที่เคยประสบความสำเร็จกลับมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ และการลดค่าใช้จ่าย"
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวที่จะต้องมีการหารือกับ นายอรรถกร จะมีในเรื่องของโครงการ “Buy International, Free Thailand Domestic Flights” วงเงิน 700 ล้านบาท ในกรณีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อตั๋วจากต่างประเทศบินเข้าไทย รัฐบาลสนับสนุนตั๋วฟรีเส้นทางบินในประเทศ 200,000 สิทธิ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนตั๋วเครื่องบินเส้นทางภายในประเทศ ที่นั่งละ 1,750 บาทต่อเที่ยว หรือไป-กลับรวม 3,500 บาท
รวมถึงการนำเสนอแนวคิดที่จะดำเนินโครงการ “ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาการใช้เงินที่เหลือจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่ต้องรอดูว่าจะเหลือวงเงินเท่าไหร่ จากวงเงินงบเดิม 1,750 ล้านบาท โดยไม่มีการของบประมาณเพิ่มเติม
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายโครงการ Quick Win เพื่อเร่งสร้างผลลัพธ์ระยะสั้น ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการผลักดันราคายางพารากลับไปที่กิโลกรัมละ 100 บาท รวมถึงการยกระดับราคาข้าว มันสำปะหลัง และสินค้าเกษตรทุกชนิด
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในเดือนพ.ย.68 นี้ จะมีการทบทวนแผนการคลังระยะปานกลางครั้งใหญ่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้เห็นว่า มีแผนชัดเจนที่ปฏิรูปการคลัง สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ว่าทำอะไรบ้าง ที่ทำได้ทำเลย ที่ทำไม่ได้จะทำเป็นแผนไว้ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในระยะยาว
“เรื่องวินัยการคลัง มีความตั้งใจ เพราะอยู่กรมจัดเก็บมาหลายแห่ง เราสามารถเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ และการปฏิรูปรายได้โดยที่ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย ทุกนโยบายที่ทำ จะต้องรักษาวินัยการคลังเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น จะมีธรรมาภิบาลการคลัง คือต้องรู้เลยว่า ต้นทุนเท่าไร ประโยชน์เกิดอะไร กำไรเป็นอย่างไร ผลเป็นอย่างไร ทุกคนจะได้เห็น”
อย่างไรก็ตามในเรื่องฐานะการคลังจะมองสั้นไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เราตั้งใจจะทำไม่ว่าจะทำนโยบายอะไร จะเห็นว่าเราพยายามเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และรักษาวินัยการคลัง โดยงบประมาณปี 69 รัฐบาลก็ใช้งบประมาณเท่าเดิม แต่จะใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตรงเป้าหมาย และระยะยาวต้องขาดดุลไม่เกิน 3%