"เงินปริศนา" ทำไทยเสี่ยงเสียเครดิต-สหรัฐฯคว่ำบาตร ปมศูนย์กลางฟอกเงิน

24 ก.ย. 2568 | 08:24 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ย. 2568 | 10:55 น.

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช เตือน ไทยเสี่ยงเสียเครดิต-ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร ปมค่า NEO และธุรกิจสีเทา หวั่นไทยกลายเป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ฐานทอล์ค” ช่องเนชั่นทีวี22 ถึงการปรับปรุงข้อมูลค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ (NEO: Net Errors and Omissions) ของดุลการชำระเงินของประเทศ โดยระบุว่า แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการแถลงปรับปรุงตัวเลขดังกล่าว แต่ถือว่า "ช้ามาก" หรือ "ดีเลย์ไปเยอะมาก" เมื่อเทียบกับต่างประเทศ 

โดยตั้งข้อสังเกตว่า ความล่าช้าในการปรับปรุงข้อมูล ซึ่งมีกำหนดปรับปรุงในเดือนมีนาคม กันยายน และกันยายนปีถัดไป ส่งผลกระทบต่อ "เครดิตของประเทศ" และ "ความน่าเชื่อถือของตัวเลขของทางการไทย" และยังสะท้อนให้เห็นว่าอาจมีหลายเรื่องที่นำไปสู่การทำธุรกิจที่ไม่โปร่งใสได้

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช เน้นย้ำว่า การปรับปรุงเรื่องข้อมูลของดุลการชำระเงินของประเทศนั้น ต้องมีการบูรณาการและต้องทำให้เป็นreal time โดยเปรียบเทียบว่า ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีความล่าช้าในการเผยแพร่ข้อมูลประมาณ 1 เดือน ส่วนสหรัฐอเมริกาดีเลย์ประมาณ 2-3 เดือน แต่ของไทยนั้นดีเลย์ไปมาก ซึ่งเข้าใจได้ว่า ต้องประกอบด้วยตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย, กระทรวงการคลัง, กรมศุลกากร, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงอุตสาหกรรม และ BOI

เมื่อถามถึงการที่ ธปท. ปรับลดตัวเลข NEO ลงจากกว่า 500,000 ล้านบาท เหลือ 200,000 กว่าล้านบาท นั้นรศ.ดร.อัทธ์ระบุว่า ในแง่คณิตศาสตร์อาจถูกต้อง แต่ในแง่ความเป็นจริงไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่เหตุผลเพราะ การคำนวณ delay เกินไป และ มีหลายส่วนที่ไม่สามารถจะถูกบันทึกเข้าไปในรายการนี้ได้ดังนั้น ตัวเลข NEO อาจไม่ใช้ตัวเลขจริงที่อยู่ปัจจุบัน โดยอาจสูงกว่าหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ เนื่องจากเงินเข้าบางรายการไม่ต้องรายงานทั้งหมด

ธุรกิจสีเทา 1ในปัจจัย ทำบาทแข็ง

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ชี้ว่า ปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติประมาณ 8% โดยมี 4 สาเหตุหลัก ที่ทำให้เงินบาทแข็ง

  1. ดอลลาร์อ่อน (ให้น้ำหนัก 40%) เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ดี
  2. ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด (ให้น้ำหนัก 30%) ซึ่งในปี 2568 ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกเยอะ คาดว่าจะบวกเกือบ 400,000 ล้านบาท
  3. NEO (ค่าความคลาดเคลื่อน) และ
  4. ธุรกิจสีเทา (รวมกันให้น้ำหนัก 30%)

เงินจากธุรกิจสีเทาที่เข้ามาในประเทศนั้นถูกแปลงจากดอลลาร์หรือสกุลเงินอื่น ๆ ให้มาเป็นเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้น โดยเงินเหล่านี้ไหลเข้าสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์, การซื้อทองคำ, การเปิดบริษัท, และการซื้อคริปโต ซึ่งเกี่ยวกับการเข้ามาฟอกเงิน ซึ่งการมีตัวเลข NEO ที่สูงนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าไทยอาจกลายเป็น"ศูนย์กลางในการฟอกเงิน" ได้

ความเสี่ยงไทย ถูกลดเครดิตเรทติ้ง และการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

รศ.ดร.อัทธ์ เตือนว่า ประเทศไทยถูกรายล้อมด้วย 2 เมืองหลวงของศูนย์กลางการฟอกเงินได้แก่ กัมพูชา และพม่า โดยรายงานของสหรัฐอเมริการะบุว่า เงินสีเทาที่หมุนเวียนอยู่ในกัมพูชาประมาณ 800,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และพม่าประมาณ 900,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ รวมกันมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

ด้วยสถานการณ์นี้ สถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ได้ตั้งข้อสงสัยว่า ไทยอาจเป็น "ศูนย์กลางในการเชื่อมโยงกับธุรกิจของประเทศเพื่อนบ้านที่ทำธุรกิจสีเทา" และทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะถูก คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา 

"เงินปริศนา" ทำไทยเสี่ยงเสียเครดิต-สหรัฐฯคว่ำบาตร ปมศูนย์กลางฟอกเงิน

นอกจากนี้ ไทยยังมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกFitch rating ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จากปัจจุบันที่ BBB+ Stable สู่ BB+ Negative ปัจจัยมาจากการที่เศรษฐกิจไทยโดยรวมไม่ได้พัฒนาตามศักยภาพ โดยมีหลายองค์ประกอบ ได้แก่

  1. อัตราขยายตัวเศรษฐกิจของไทย ต่ำกว่าปกติ  และต่ำที่สุดในอาเซียน
  2. หนี้สาธารณะ และ หนี้ครัวเรือน ของประเทศที่มีสูง
  3. ความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองสูงมาก โดยในช่วงไม่ถึง 2-3 ปี มีนายกฯถึง 3 คน
  4. การทำธุรกิจสีเทาในประเทศ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์, บัญชีม้า, การค้ามนุษย์ผ่านประเทศ, รวมถึงการจัดตั้งบริษัทที่ไม่ทำตามวัตถุประสงค์

สุดท้ายรศ.ดร.อัทธ์ ได้แสดงความเห็นถึงการตั้งทีม Connect the dot ว่ามีความหวัง แต่หวังไม่มากเหตุผลเพราะประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย แม้จะมีกฎหมายการฟอกเงินและกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้ว เนื่องจากปัญหาเรื่องใต้โต๊ะ และคอร์รัปชั่นที่ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย