ธปท.ย้ำ NEO ไม่กระทบ ‘บาทแข็ง’ เชื่อม ก.ล.ต.-ปปง.กันเงินเทา

23 ก.ย. 2568 | 06:36 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ย. 2568 | 06:57 น.

ธปท.ย้ำ Net Errors and Omissions หรือ NEO ยังต่ำ ค่าเฉลี่ย 10 ปี อยู่ที่ 1.3% ระบุไม่กระทบ ‘บาทแข็ง’ พร้อมเชื่อมข้อมูล ‘ก.ล.ต.-ปปง.’ กันเงินสีเทา

KEY

POINTS

  • ธปท. ชี้แจงว่าตัวเลขความคลาดเคลื่อนทางสถิติ (NEO) เป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นแล้วในปี 2567 จึงไม่มีผลกดดันเพิ่มเติมให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในปัจจุบัน
  • ธปท. ประสานงานกับ ปปง. และ ก.ล.ต. เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัยและข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสกัดกั้นช่องทางของเงินสีเทา
  • ธปท. ยืนยันว่า NEO เป็นเพียงความคลาดเคลื่อนทางสถิติ ไม่ใช่เงินสีเทาทั้งหมด โดยตัวเลขล่าสุดของไทยปรับลดลงกว่าครึ่งและยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือนก.ย.68 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การจะประเมินว่าตัวเลข NEO มากหรือน้อย ควรพิจารณาจากสัดส่วนเทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ (Openness) มากกว่าดูแค่ตัวเลขเดี่ยว ซึ่งหากดู NEO ของไทย จากค่าเฉลี่ยทั่วโลกของสัดส่วน NEO เทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ (173 ประเทศ) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.4%  ขณะที่ค่าเฉลี่ยของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.3% และในการปรับปรุงล่าสุด สัดส่วนของไทยอยู่ที่ 1.0%

ธปท.ย้ำ NEO ไม่กระทบ ‘บาทแข็ง’ เชื่อม ก.ล.ต.-ปปง.กันเงินเทา

“ตัวเลข NEO ของไทยจึงต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีต และค่าเฉลี่ยทั่วโลก รวมถึงประเทศในเอเชียและประเทศเอเชียที่มีรายได้ปานกลางด้วย ยืนยันว่า NEO เป็นเรื่องคลาดเคลื่อนเชิงสถิติที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ และไม่ได้แปลว่าธุรกรรมที่ไม่เห็นทั้งหมดจะเป็นเงินเทา ซึ่งเราอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อให้วิธีการประมาณการแม่นยำมากยิ่งขึ้น”

สำหรับ NEO ที่ไหลเข้ามา ไม่ได้กดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก NEO เป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2567 และผลกระทบต่อค่าเงินบาทเกิดขึ้นไปแล้ว ณ ขณะที่เงินไหลเข้ามา และถูกบันทึกในดุลการชำระเงิน ซึ่งการถูกจัดให้ เป็น NEO ไม่ได้ทำให้เกิดเงินเพิ่มเติมที่มาสร้างแรงกดดันต่อค่าเงิน ซึ่งในปี 67 เงินบาทแข็งค่า 0.1% เป็นสถานการณ์แตกต่างอยากตอนนี้ ดังนั้น ไม่ว่า NEO จะใหญ่หรือเล็ก ก็ไม่มีส่งผลเพิ่มเติมต่อค่าเงินบาท

ทั้งนี้ หากพูดถึงเงินเทา สามารถอยู่ได้ในหลายส่วนของธุรกรรม ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน NEO เท่านั้น เช่น เงินที่ได้จากธุรกิจสีเทาของกรรมการบริษัทต่างชาติที่นำมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะถูกบันทึกเป็น Portfolio Investment แต่ก็ยังเป็นเงินเทาได้ หรือการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto) และทองคำเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน

อย่างไรก็ตาม เพื่อลดช่องทางในการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน ธปท. ได้มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล Connect the Dot โดยได้มีการประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อส่งต่อข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย

นอกจากนี้ ยังมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอข้อมูลธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในการลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูล และยังมีการหารือร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจมหภาค เช่น สภาพัฒน์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอื่น ๆ อาทิ กรมศุลกากร และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

“การเชื่อมโยงข้อมูลนี้จะช่วยจำกัดวงของธุรกรรมที่ยังไม่เห็นและช่วยอธิบายข้อมูลที่เคยไม่ชัดเจนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และช่วยลดโอกาสที่ธุรกรรมสีเทาจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งการเก็บข้อมูลธุรกรรม Cryptocurrency ธปท. เห็นเฉพาะข้อมูลการแลกเปลี่ยนเงินที่ทำผ่านผู้ให้บริการภายใต้การกำกับของ ธปท. เช่น ธนาคารพาณิชย์ และยังต้องอาศัยข้อมูลจากผู้ให้บริการด้าน Cryptocurrency ที่รายงานต่อ ก.ล.ต. มาประกอบเพิ่มเติม”

ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา ธปท. ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อต่อสู้กับธุรกรรมที่ผิดกฎหมายและทุจริต ได้แก่

  1. สนับสนุนการใช้ระบบดิจิทัลในภาคการเงิน เช่น PromptPay เพื่อสร้าง Digital Footprint ในการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยในการตรวจสอบหากเกิดความผิดปกติ
  2. เข้มงวดเกณฑ์ KYC/CDD (การยืนยันตัวตน) สำหรับการเปิดบัญชีและทำธุรกรรมทั้งบุคคลธรรมดาและธุรกิจ
  3. แก้ปัญหาบัญชีม้า และกำกับดูแลสถาบันการเงิน ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (MLCFT) ของสำนักงาน ปปง. อย่างเคร่งครัด
  4. ท่าทีระมัดระวังต่อ Financial Hubs และ Digital Assets ซึ่งธปท.ได้แสดงความเห็นให้มีการดูแลและปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย หากมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในพื้นที่ Financial Hubs และยังคงระมัดระวังในการนำ Digital Asset หรือ Cryptocurrency มาใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากติดตามได้ยาก

ขณะที่การปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือนก.ย.68 ทำให้ NEO ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) เป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1. มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมศุลกากรได้ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

2. ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

3. ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“โดยปกติแล้ว ใน 1 ปี จะมีการทบทวนดุลการชำระเงิน 2 รอบใหญ่ สำหรับปี 67 ที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลเมื่อเดือนมี.ค.68 และจะมีการปรับปรุงข้อมูลในเดือนก.ย.68 อีกครั้ง และปรับปรุงครั้งใหญ่เดือนก.ย.69 ซึ่ง NEO อาจจะปรับลดลง หรือเพิ่มขึ้นได้”