KEY
POINTS
ธปท.ปรับลดตัวเลข NEO ของปี 2567 ลงเหลือ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.3 แสนล้านบาท) จากตัวเลขเบื้องต้นที่เคยประกาศในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งเป็นการลดลงมากกว่า 50%
ธปท. ย้ำว่า NEO เป็นเพียง ความคลาดเคลื่อนทางสถิติ ที่เกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ ไม่ได้หมายความว่าเป็นเงินที่มาจากธุรกิจผิดกฎหมายหรือ "เงินสีเทา" ทั้งหมด
NEO ที่ไหลเข้ามาเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2567 และได้ส่งผลต่อค่าเงินบาทไปแล้ว ณ เวลานั้น การปรับปรุงตัวเลขทางสถิติในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้มีเงินใหม่ไหลเข้า และไม่สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน(Balance of Payments)ปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือนก.ย.68 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ(Net Errors and Omissions: NEO)ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) ปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
การจะประเมินว่า ตัวเลข NEO มากหรือน้อย ควรพิจารณาจากสัดส่วนเทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ (Openness) มากกว่าดูแค่ตัวเลขเดี่ยว ซึ่งหากดูค่าเฉลี่ยทั่วโลกของสัดส่วน NEO เทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ (173 ประเทศ) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.4% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 1.3% และในการปรับปรุงล่าสุด สัดส่วนของไทยอยู่ที่ 1.0%
“ตัวเลข NEO ของไทยจึงต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีต และค่าเฉลี่ยทั่วโลก รวมถึงประเทศในเอเชียและประเทศเอเชียที่มีรายได้ปานกลางด้วย ยืนยันว่า NEO เป็นเรื่องคลาดเคลื่อนเชิงสถิติที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ และไม่ได้แปลว่า ธุรกรรมที่ไม่เห็นทั้งหมดจะเป็นเงินเทา ซึ่งเราอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อให้วิธีการประมาณการแม่นยำมากยิ่งขึ้น”
สำหรับ NEO ที่ไหลเข้ามา ไม่ได้กดดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก NEO เป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2567 และผลกระทบต่อค่าเงินบาทเกิดขึ้นไปแล้ว ณ ขณะที่เงินไหลเข้ามาและถูกบันทึกในดุลการชำระเงิน
การถูกจัดให้เป็น NEO ไม่ได้ทำให้เกิดเงินเพิ่มเติมที่มาสร้างแรงกดดันต่อค่าเงิน ซึ่งปี 67 เงินบาทแข็งค่า 0.1% เป็นสถานการณ์แตกต่างจากตอนนี้ ดังนั้น ไม่ว่า NEO จะใหญ่หรือเล็ก ก็ไม่มีส่งผลเพิ่มเติมต่อค่าเงินบาท
ขณะที่หากพูดถึงเงินเทา สามารถอยู่ได้ในหลายส่วนของธุรกรรมไม่จำเป็นต้องอยู่ใน NEO เท่านั้น เช่น เงินที่ได้จากธุรกิจสีเทาของกรรมการบริษัทต่างชาติที่นำมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะถูกบันทึกเป็น Portfolio Investment แต่ก็ยังเป็นเงินเทาได้ หรือการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลและทองคำเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน
อย่างไรก็ตาม เพื่อลดช่องทางในการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน ธปท.ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล Connect the Dot โดยได้ประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อส่งต่อข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย
นอกจากนั้นยังได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อขอข้อมูลธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในการลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลและยังหารือร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจมหภาค เช่น สภาพัฒน์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอื่นๆ เช่น กรมศุลกากรและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
“การเชื่อมโยงข้อมูลจะช่วยจำกัดวงของธุรกรรมที่ยังไม่เห็นและช่วยอธิบายข้อมูลที่เคยไม่ชัดเจนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นและช่วยลดโอกาสที่ธุรกรรมสีเทาจะเกิดขึ้นได้"
การเก็บข้อมูลธุรกรรมเงินดิจิทัล ธปท.เห็นเฉพาะข้อมูลการแลกเปลี่ยนเงินที่ทำผ่านผู้ให้บริการภายใต้การกำกับธปท. เช่น ธนาคารพาณิชย์และยังต้องอาศัยข้อมูลจากผู้ให้บริการด้านเงินดิจิทัลที่รายงาน ก.ล.ต. มาประกอบเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อต่อสู้กับธุรกรรมที่ผิดกฎหมายและทุจริต ได้แก่
สำหรับการปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงินปี 2567 ทำให้ NEO ลดลงอยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) เป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่
“โดยปกติแล้วใน 1 ปี จะมีการทบทวนดุลการชำระเงิน 2 รอบใหญ่ สำหรับปี 67 ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลเมื่อเดือนมี.ค.68 และจะมีการปรับปรุงข้อมูลในเดือนก.ย.68 อีกครั้ง และปรับปรุงครั้งใหญ่เดือนก.ย.69 ซึ่ง NEO อาจจะปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้”
อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและร้านทองอย่างเข้มข้น เพื่อลดความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาท โดยช่วงต้นสัปดาห์หน้าจะกลับมาหารือร่วมกับอีกครั้ง เพื่อประมวลข้อมูล และหาแนวทางในการช่วยเหลือว่าจะออกมาอย่างไร
สำหรับมาตรการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาและส่งเสริม ได้แก่
“หากบาทแข็งรุนแรงมากๆ มาตรการภาษี ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา เพื่อลดแรงกดดัน และลดผลขยายความผันผวน ของค่าเงินบาท จากราคาทองคำเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าได้โดยตรง ฉะนั้น เราอาจจะต้องฟังให้มากในแง่การออกแบบนโยบาย ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ตอนนี้ คือ เราต้องเอาข้อมูลมาประมวล และเกาให้ถูกที่คัน” นางสาวชญาวดีกล่าว
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,134 วันที่ 25 - 27 กันยายน พ.ศ. 2568