KEY
POINTS
นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยภายในรายการ 'ฐานทอล์ค' ถึงความคืบหน้ากรณีการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจตรวจสอบเงินปริศนามูลค่ากว่า 500,000 ล้านบาทที่ไหลเข้า-ออกประเทศไทยเมื่อปี 2567 โดยระบุว่าว่า กระทรวงการคลังได้ประสานตรงมายังเลขาธิการ ปปง. เพื่อเร่งตั้งศูนย์เฉพาะกิจตรวจสอบโดยด่วน เนื่องจากเป็นประเด็นที่สังคมและทุกภาคส่วนให้ความสนใจสูง
โดยเรื่องนี้ ปปง. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบันทึกความร่วมมือ (MOU) อยู่แล้ว รวมถึง ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ร้านทอง และบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล ร้านค้าทองคำและอัญมณีต่าง ๆ ต้องรายงานธุรกรรมที่ต้องสงสัยมายัง ปปง. เช่น
"ปกติก็จะมีการทำงานร่วมกันอยู่แล้ว เพราะ ธปท. จะมองเห็นภาพรวมของเงินทั้งระบบประเทศ ขณะที่ ปปง. ตรวจสอบเฉพาะธุรกรรมที่เข้าข่ายตามกฎหมาย"
นายวิทยากล่าวว่า ประเด็นเงินปริศนา 5 แสนล้านบาทนี้ สื่อบางแห่งใช้คำว่า 'เงินเทา' แต่ตามนิยามของ ปปง. จะหมายถึงเงินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดมูลฐาน เช่น คดียาเสพติด หรือการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งหากพบต้องประสานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินตามกฎหมายต่อไป
สำหรับการทำงานกับ ธปท. ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา นายวิทยาระบุว่า มีการประสานใกล้ชิดผ่านคณะกรรมการและอนุกรรมการหลายชุด เพื่อเฝ้าระวังธุรกรรมที่เกี่ยวโยงกับพื้นที่รอบประเทศหรือธุรกรรมต้องสงสัย โดยบางครั้ง ปปง. ต้องสอบถามข้อมูลจากต่างประเทศ หรือได้รับข้อมูลเชิงนัยสำคัญจาก ธปท. เพื่อช่วยขยายผล
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากรณีนี้อาจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะหากต้นทางอยู่ต่างประเทศซึ่งมาตรฐานการกำกับฟอกเงินแตกต่างกัน บางประเทศเข้มงวดจนสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ แต่บางประเทศก็ตรวจสอบได้ยากเช่นกัน ส่วนธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลก็ซับซ้อนเพราะมีลักษณะนิรนาม ข้ามพรมแดนง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำหรับโครงสร้างทีมเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นในครั้งนี้ จะประกอบด้วย ธปท. , สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ปปง. โดยจะทำงานร่วมกันทั้งเชิงป้องกันและปราบปราม เช่น การปิดช่องโหว่การอนุญาตบริษัทคริปโตที่ผิดกฎหมาย การแก้กฎหมายเพื่อกำกับดูแลเข้มงวดขึ้น และการพิจารณามาตรการ 'ยาแรง' แต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบประชาชนที่ทำธุรกรรมสุจริต
เขายอมรับว่าบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงินในภาครัฐยังมีจำนวนไม่เพียงพอ และหลายคนเลือกทำงานในภาคเอกชนที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งหาทางเสริมทัพบุคลากร เพื่อให้สามารถสกัดกั้นอาชญากรทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ยอมรับว่าการตรวจสอบครั้งนี้ยาก เพราะธุรกรรมบางส่วนเป็นลักษณะ hand-to-hand หรือใช้ช่องทางซับซ้อนจนร่องรอยขาดหาย แต่เมื่อมีการตั้งชุดพิเศษขึ้นมาแล้ว เชื่อว่าประเด็นสำคัญจะสามารถคลี่คลายและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนได้” นายวิทยากล่าว
ทั้งนี้ ศูนย์เฉพาะกิจได้เริ่มประชุมและทำงานแล้ว โดยแต่ละหน่วยงานกำลังรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หากได้ความชัดเจน จะมีการแถลงข่าวร่วมกัน เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อสังคม