รมช.คลัง ชี้พื้นที่การคลังเสี่ยง รัฐบาลใหม่เจอแรงกดดันทุกด้าน

23 ก.ย. 2568 | 13:58 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ย. 2568 | 14:02 น.

‘วรภัค’ รมช.คลัง ชี้พื้นที่การคลังหลังโควิดเสี่ยง อยู่ระ 7.6% ระบุรัฐบาลใหม่ ‘พื้นที่หายใจ’ จำกัด เผชิญแรงกดดันทุกด้าน แนะปรับสมดุลครบวงจร

นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์แสดงความเห็นถึงสถานการณ์ฐานะการคลังไทยหลัง COVID-19 : Baseline ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลใหม่ ผ่าน Facebook “Vorapak Tanyawong” ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา 

หลังวิกฤต COVID-19 ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐเปราะบางอย่างยิ่ง ภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินสูงถึง 7.6 จาก 10 (ก่อนโควิดเพียง 4.3) ซึ่งหมายถึง “พื้นที่หายใจ” ของรัฐบาลใหม่มีอยู่อย่างจำกัด

1. หนี้สาธารณะ: แรงกดดันที่เข้าใกล้เพดาน

 • หนี้สาธารณะจะขึ้นแตะ ~65% ต่อ GDP ในปี 2568 และภาระดอกเบี้ยอาจเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล

 • แม้ยังไม่ทะลุเพดาน 70% แต่กำลังใกล้ “กันชนสุดท้าย” ที่ IMF ประเมินไว้ที่ 77–87%

Downside trigger: หากเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับดอกเบี้ยโลกสูงต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้อาจทะลุกรอบเร็วกว่าคาด และถูกตลาดการเงินลดความเชื่อมั่น

2. รายได้ภาครัฐ: โครงสร้างจัดเก็บที่อ่อนแรง

 • สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ต่ำกว่ามาตรฐานโลก ~3%

 • จุดอ่อนสำคัญ: แรงงานนอกระบบ >50%, ไม่มี Capital Gain Tax (ซึ่งคงยังไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีเรื่องนี้ในระยะระยะเวลาอันใกล้), ภาษีทรัพย์สินและมรดกต่ำ, VAT ยังคงต่ำที่ 7% (ในขณะที่ประเทศรอบบ้านเราอยู่ที่ 12 ถึง 15% กันทั้งนั้น), ภาษีสิ่งแวดล้อมยังไม่เกิดขึ้น

 • รายได้จากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติลดลง

Downside trigger: หากไม่สามารถปฏิรูปภาษีได้จริง รายได้ต่อ GDP จะไม่ขยับ → เสถียรภาพหนี้อาจจะทรุดลงเรื่อยๆ

3. รายจ่ายภาครัฐ: ภาระที่ขยายตัวต่อเนื่อง

 • ค่าใช้จ่ายบุคลากรและบำนาญเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 • ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะ OPD พุ่งไม่หยุด

 • กองทุนชราภาพเสี่ยงไม่ยั่งยืน และแรงงานนอกระบบไร้หลักประกันเกษียณ

Downside trigger: หากการใช้ Escape Clause ถูกบิดเบือนเพื่อเพิ่ม “รายจ่ายลงทุนเทียม” จะทำให้ฐานะการคลังเสื่อมเร็ว

4. โครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม: กับดักเชิงโครงสร้าง

 • สังคมผู้สูงอายุ → รายได้ภาษีหด รายจ่ายบำนาญและสุขภาพพุ่ง

 • หนี้ครัวเรือนสูง 90% ต่อ GDP → บริโภคชะลอ, VAT อ่อนแรง

 • แรงงานนอกระบบครึ่งประเทศ → ฐานภาษีแคบ

 • ความเหลื่อมล้ำสูง → 1% ถือครองรายได้ 23% ทำให้การปฏิรูปภาษีเผชิญแรงต้าน

 • ภูมิรัฐศาสตร์และพลังงาน: ราคาน้ำมันผันผวน บีบรัดการคลังจากการอุดหนุน

 • Climate risk: ไทยติดอันดับ 9 โลกในดัชนีความเสี่ยง ทำให้ต้องกันงบเพื่อบรรเทาและฟื้นฟูมากขึ้น

Downside trigger: Shock ภายนอก เช่น ราคาน้ำมันพุ่งหรือภัยพิบัติรุนแรง จะกระแทกงบประมาณทันที

5. ทางออก: การปรับสมดุลการคลังต้อง “ครบวงจร”

 • รายจ่าย: จำกัดการโตของเงินเดือน-บำนาญ-สวัสดิการ, ปฏิรูปกองทุนเกษียณ

 • รายได้: ปฏิรูปภาษีบุคคลและทุน, ขยาย VAT อย่างเหมาะสม, จัดเก็บภาษีคาร์บอน, เพิ่มรายได้จากทรัพย์สินรัฐ

 • กลไกกฎหมาย: ใช้ PAYGO, กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัด, กลับสู่กรอบขาดดุล 3% ของ GDP เมื่อเศรษฐกิจฟื้น

บทสรุป: Baseline ของรัฐบาลใหม่

รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจาก “กระดาษขาว” แต่จาก baseline ที่เต็มไปด้วย แรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลังทุกด้าน - หนี้ รายได้ รายจ่าย และโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม - กำลังบีบให้ fiscal space ของไทยแคบลงเรื่อย ๆ หากไม่ปฏิรูปเชิงรุก ความเสี่ยงจะทวีคูณ และ downside triggers สามารถถูกจุดติดได้จากทั้งในและนอกประเทศ

โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ใช่แค่การ “เลือกใช้นโยบาย” แต่คือการ “เลือกจะเผชิญความจริง”

เพราะหากเพิกเฉย Baseline วันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว