นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์แสดงความเห็นถึงสถานการณ์ฐานะการคลังไทยหลัง COVID-19 : Baseline ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลใหม่ ผ่าน Facebook “Vorapak Tanyawong” ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังวิกฤต COVID-19 ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐเปราะบางอย่างยิ่ง ภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินสูงถึง 7.6 จาก 10 (ก่อนโควิดเพียง 4.3) ซึ่งหมายถึง “พื้นที่หายใจ” ของรัฐบาลใหม่มีอยู่อย่างจำกัด
• หนี้สาธารณะจะขึ้นแตะ ~65% ต่อ GDP ในปี 2568 และภาระดอกเบี้ยอาจเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล
• แม้ยังไม่ทะลุเพดาน 70% แต่กำลังใกล้ “กันชนสุดท้าย” ที่ IMF ประเมินไว้ที่ 77–87%
Downside trigger: หากเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับดอกเบี้ยโลกสูงต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้อาจทะลุกรอบเร็วกว่าคาด และถูกตลาดการเงินลดความเชื่อมั่น
• สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ต่ำกว่ามาตรฐานโลก ~3%
• จุดอ่อนสำคัญ: แรงงานนอกระบบ >50%, ไม่มี Capital Gain Tax (ซึ่งคงยังไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีเรื่องนี้ในระยะระยะเวลาอันใกล้), ภาษีทรัพย์สินและมรดกต่ำ, VAT ยังคงต่ำที่ 7% (ในขณะที่ประเทศรอบบ้านเราอยู่ที่ 12 ถึง 15% กันทั้งนั้น), ภาษีสิ่งแวดล้อมยังไม่เกิดขึ้น
• รายได้จากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติลดลง
Downside trigger: หากไม่สามารถปฏิรูปภาษีได้จริง รายได้ต่อ GDP จะไม่ขยับ → เสถียรภาพหนี้อาจจะทรุดลงเรื่อยๆ
• ค่าใช้จ่ายบุคลากรและบำนาญเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
• ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะ OPD พุ่งไม่หยุด
• กองทุนชราภาพเสี่ยงไม่ยั่งยืน และแรงงานนอกระบบไร้หลักประกันเกษียณ
Downside trigger: หากการใช้ Escape Clause ถูกบิดเบือนเพื่อเพิ่ม “รายจ่ายลงทุนเทียม” จะทำให้ฐานะการคลังเสื่อมเร็ว
• สังคมผู้สูงอายุ → รายได้ภาษีหด รายจ่ายบำนาญและสุขภาพพุ่ง
• หนี้ครัวเรือนสูง 90% ต่อ GDP → บริโภคชะลอ, VAT อ่อนแรง
• แรงงานนอกระบบครึ่งประเทศ → ฐานภาษีแคบ
• ความเหลื่อมล้ำสูง → 1% ถือครองรายได้ 23% ทำให้การปฏิรูปภาษีเผชิญแรงต้าน
• ภูมิรัฐศาสตร์และพลังงาน: ราคาน้ำมันผันผวน บีบรัดการคลังจากการอุดหนุน
• Climate risk: ไทยติดอันดับ 9 โลกในดัชนีความเสี่ยง ทำให้ต้องกันงบเพื่อบรรเทาและฟื้นฟูมากขึ้น
Downside trigger: Shock ภายนอก เช่น ราคาน้ำมันพุ่งหรือภัยพิบัติรุนแรง จะกระแทกงบประมาณทันที
• รายจ่าย: จำกัดการโตของเงินเดือน-บำนาญ-สวัสดิการ, ปฏิรูปกองทุนเกษียณ
• รายได้: ปฏิรูปภาษีบุคคลและทุน, ขยาย VAT อย่างเหมาะสม, จัดเก็บภาษีคาร์บอน, เพิ่มรายได้จากทรัพย์สินรัฐ
• กลไกกฎหมาย: ใช้ PAYGO, กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัด, กลับสู่กรอบขาดดุล 3% ของ GDP เมื่อเศรษฐกิจฟื้น
บทสรุป: Baseline ของรัฐบาลใหม่
รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจาก “กระดาษขาว” แต่จาก baseline ที่เต็มไปด้วย แรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลังทุกด้าน - หนี้ รายได้ รายจ่าย และโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม - กำลังบีบให้ fiscal space ของไทยแคบลงเรื่อย ๆ หากไม่ปฏิรูปเชิงรุก ความเสี่ยงจะทวีคูณ และ downside triggers สามารถถูกจุดติดได้จากทั้งในและนอกประเทศ
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ใช่แค่การ “เลือกใช้นโยบาย” แต่คือการ “เลือกจะเผชิญความจริง”
เพราะหากเพิกเฉย Baseline วันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว