กรณีมีเงินทุนปริศนาไหลเข้าประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งถูกจับตาเป็นเงินสีเทา ล่าสุดนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการกระทรวงการคลัง ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.),สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานต่างๆ
“ปลัดกระทรวงการคลังได้ตั้งทีมมาศึกษาเรื่องนี้แล้ว เพื่อตอบโจทย์การเชื่อมโยงข้อมูลให้เห็นว่า ตกลงเงินมาจากตรงไหน จะได้เกาให้ถูกที่คันแก้ปัญหาให้ตรงจุด โดยหลังจากที่ถวายสัตย์และมีการแถลงนโยบายเสร็จก็จะดำเนินการเรื่องนี้ทันที”นายเอกนิติกล่าว
ทั้งนี้จากตัวเลขดุลการชำระเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions หรือ NEO) ในดุลการชำระเงินของไทย เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ โดยตัวเลขในปี 2564 อยู่ที่ 340,290.37 ล้านบาท ก่อนจะลดลงเป็นลบในปี 2565 ที่ -2,528.18 ล้านบาท
แต่ในปี 2566 ตัวเลขกลับพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งที่ 180,404.36 ล้านบาท และในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 530,855.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ขณะที่ในไตรมาสแรกของปี 2568 ค่า NEO อยู่ที่ 80,909.45 ล้านบาท หากคำนวณแบบปีเต็มด้วยอัตราเดียวกัน อาจหมายถึงค่า NEO ในปี 2568 จะสูงถึงประมาณ 323,637.8 ล้านบาท
ตามทฤษฎีดุลการชำระเงิน ดุลการชำระเงินจะต้องเท่ากับผลรวมของดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนเสมอ เนื่องจากเป็นระบบการบันทึกแบบสองด้าน (double-entry bookkeeping) ที่ต้องมีทั้งรายการ “รับ” และ “จ่าย” ให้สมดุลกัน แต่ในโลกของความเป็นจริง การเก็บข้อมูลไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกธุรกรรมอย่างสมบูรณ์และทันเวลา จึงเกิดความแตกต่างที่เรียกว่า “ค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ” ขึ้นมา
ด้านนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทย ได้มีการพูดถึงประเด็นนี้แล้ว และได้กราบเรียนท่านนายกฯ แล้ว โดยสิ่งที่ต้องเร่งทำ ก็คือการ Connect the dots ซึ่งการขับเคลื่อนของเงินทุนในรูปแบบต่างๆ ต้องผ่านหลายกลไกในระบบตลาด ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดทั่วไป และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ที่เป็นทั้งระบบธนาคารและไม่ใช่ระบบธนาคารไปจนถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน
“กิจกรรมทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการเชื่อมโยงข้อมูล ซึ่งล่าสุด ทางธปท. กับทาง ปปง. กำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้”