การขับเคลื่อนมาตรการ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ตามนโยบายของรัฐบาล ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสาย ในราคาไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568-30 กันยายน 2569
โดยมีความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอเข้ามาหลายหน่วยงาน หนึ่งในนั้นคือ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีความเห็นประกอบการพิจารณา โดยระบุว่า มาตรการ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” (ระยะที่ 2) ควรยึดความสอดคล้องกับหลักการตาม พ.ร.บ.วินัยเงินการคลังฯ พ.ศ. 2561 โดยเฉพาะ ม.27 และ ม.28 อย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกัน สศช. มองว่า ภายหลังจากดำเนินมาตรการ ระยะที่ 2 ในปี 2569 จะมีผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 1.75 ล้านคน เป็น 2.18 ล้านคน/เที่ยวต่อวัน ขณะที่โครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตเมือง อาทิ สายสีน้ำเงิน สายสีเขียว และแอร์พอร์ต เรลลิงก์ มีปริมาณผู้โดยสารหนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วนเช้า - เย็น ซึ่งจะทำให้ระบบรถไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันเกิดปัญหาในการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเร่งด่วนได้
ดังนั้น จึงเห็นควรมอบหมายให้ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เร่งเจรจาหารือร่วมกับเอกชนคู่สัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระดับการให้บริการ (Level of Service) และการบริหารสัญญาสัมปทานให้ได้ข้อยุติร่วมกัน เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการฯ ระยะที่ 2 ได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ในปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... หรือ พ.ร.บ. ตั๋วร่วม อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและคาดว่าจะใช้บังคับในปี 2568 ในขณะที่มาตรการนี้ดำเนินการในปีงบฯ 2569 แต่ยังมีกลไกและวิธีการที่แตกต่างจากที่กำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วมฯ พ.ศ. ....
จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมที่กำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วมฯพ.ศ. .... โดยเฉพาะโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม มาตรฐานทางเทคโนโลยีและรูปแบบของระบบบัตรโดยสารร่วม รวมถึงการพัฒนาระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House: CCH) เพื่อให้การพัฒนาระบบตั๋วร่วมของระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง