KEY
POINTS
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสาย ในราคาไม่เกิน 20 บาทตลอดสายนั้น คณะกรรมการขับเคลื่อนการลงทุนตามนโยบายรถไฟฟ้าอัตราเดียวตลอดสาย ได้ประชุมนัดแรกวันนี้ โดยที่ประชุมมีมติจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทั้งระยะสั้นและยาว รวมถึงการซื้อคืนสัมปทานจากภาคเอกชน เช่น การตั้งกองทุนเข้ามาอุดหนุน ซึ่งมีนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน
สำหรับการประชุมครั้งนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน นอกจากนี้ ยังมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม น.ส.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวก่อนการประชุม ว่า การดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณอุดหนุนจากภาครัฐราว 7-8 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการคาดการณ์จากจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า โดยในการประชุมครั้งนี้จะมีการหารือแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าวในระยะยาว อาทิ การตั้งกองทุนอุดหนุน เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครม.ได้มีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสาย ในราคาไม่เกิน “20 บาทตลอดสาย ” ตามนโยบายของรัฐบาล ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดราคาค่าครองชีพในทุกมติ ให้กับประชาชน เช่น การปรับราคาค่าครองชีพ ค่าสาธารณูปโภค และค่าพลังงานต่าง ๆ
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ค่าโดยสาร 20 บาท ภายในช่วงเดือน สิงหาคม 2568 ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" และภายใน 1 ตุลาคม 2568 จะเริ่มดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า สูงสุด 20 บาทตลอดสายตามนโยบายรัฐบาล และภายหลังจากนั้นจะมีกระบวนการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้โครงสร้างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงื่อนไขการลงทะเบียนนั้น ก็เพื่อยืนยันตัวบุคคลที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น โดยระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก และสามารถใช้ผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรโดยสาร (Rabbit Card ที่เคยลงทะเบียนไว้) ที่จะใช้งานกับระบบรถไฟฟ้าผ่านแอปฯ “ทางรัฐ”
โดยบัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนจะได้สิทธิ์โดยอัตโนมัติ เมื่อใช้งานหลังจากเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยจะครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 13 เส้นทาง ประกอบไปด้วย
ระยะทางรวม 279.84 กิโลเมตร 194 สถานี สำหรับแนวทางการชดเชยรายได้ค่าโดยสารจากการดำเนินมาตรการ จะมาจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม หรือแหล่งเงินอื่นที่เหมาะสม