“เผ่าภูมิ” ย้ำนโยบายการเงินเหยียบคันเร่ง รับมือภาษีสหรัฐ

09 ก.ค. 2568 | 07:48 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2568 | 07:52 น.

“เผ่าภูมิ โรจนสกุล” คาดเศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอตัว ย้ำ 2 นโยบายต้องเดินด้วยกัน ระบุนโยบายการเงินควรเหยียบคันเร่ง รับมือภาษีหสรัฐ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง  เปิดเผยว่า  ในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจโลกมีความท้าทาย รวมถึงเศรฐกิจไทย ประเมินว่า สถานการณ์เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงกว่าครึ่งปีแรก ฉะนั้น จะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรฐกิจเข้าไปโอบอุ้ม สำหรับมาตรการกรารคลังนั้น จะมีเม็ดเงินจากงบประมาณ 157,000 ล้านบาท ลงในระบบเศรฐกิจช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ และช่วงไตรมาสแรกของปี 69 

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง

ทั้งนี้ มองว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ต้องดำเนินการควบคู่กันไป ซึ่งในส่วนของมาตรการคลังได้อัดเม็ดเงินไปแล้ว ส่วนมาตรการเงินนั้น ต้องพิจารณาการดำเนินการให้เหมาะสม 

“ขอย้ำว่า ทั้ง  2  นโยบายการเงินและการคลัง ต้องเหยียบคันเร่ง ส่วนนโยบายการเงิน จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)”

อย่างไรก็ตาม การเดินหน้านโยบายการเงิน ไม่ได้มีเพียงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น ยังมีมาตรการอื่นๆ ด้วยการกระจายเม็ดเงินลงในระบบสินเชื่อ สร้างสภาพคล่องทำให้สถาบันการเงิน มีแรงจูงใจ ปล่อยสินเชื่อสู่ระบบ เช่น มาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ ต้องผ่อนปรนบางกรอบที่เข้มงวด ให้มีความเหมาะสม 

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจ ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ถือว่าดี  โดยดัชนีการผลผลิตอุตสาหกรรม บวกต่อเนื่อง 2 เดือน โดยเฉพาะจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ยอดการผลิตในเดือนพ.ค. ขยายตัวกว่า 600%  แต่ขณะนี้มีปัจจัยลบเข้ามา จากนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศเก็บภาษีนำเข้าไทย 36% ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ฉะนั้น จะต้องมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ภาษีสหรัฐถือว่ายังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างกระบวนการเจรจา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง และดูว่าสุดท้ายแล้วอัตราภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บไทยจะออกมาเท่าใด โดย 3 หน่วยงานประมาณการเศรษฐกิจติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีเม็ดเงินกว่า 4 หมื่นล้านบาท จากงบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้ามาดูแลผลกระทบของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถระบุได้ว่าแนวทางในการดูแลจะเป็นเช่นไรบ้าง เนื่องจากต้องติดตามภาษีสหรัฐที่จะออกมาว่าสุดท้ายเป็นเท่าใด แล้วเราจะเข้าไปดูแลต่อไป