เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปี 2025 ต้องเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งการหดตัวของการส่งออกและการท่องเที่ยว การชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ ล่าสุดยังมีความเสี่ยงจากสงคราม“อิสราเอล-อิหร่าน”
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้(TISCO ESU)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง น่าเป็นห่วง แม้ว่าไตรมาสแรกจะออกมาดี แต่ไตรมาส2-3 จะค่อยๆซึมลงและไตรมาส 4 การส่งออกไทยน่าจะหดตัวมากขึ้น
โดยปัจจัยหลักมาจากความไม่แน่นอนสูงว่า ไทยจะเจรจาลดกำแพงภาษีการค้าทรัมป์ลงมาได้ที่อัตราเท่าไร
ทั้งนี้ TISCO ESU มองว่า ไทยน่าจะต่อรองภาษีการค้าทรัมป์ลงมาราว 20% ซึ่งยังเป็นตัวเลขค่อนข้างสูง ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ปีนี้น่าจะเติบโตประมาณ 1.6%
ขณะที่โน้มปีหน้าอาจจะแย่กว่าปีนี้ คือ น่าจะเติบโตแค่ 1.4% เพราะผลจากสงครามการค้าเต็มปีและยังมีโมเมนตัมที่อ่อนแรงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้าที่ยังคงอยู่ ซึ่งมองว่า ยังมีความเสี่ยงที่สูงมากทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว ที่ซึมลงมา
“สัญญาณชัดเจนขึ้นว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะแย่ลง ทั้งแรงส่งภายนอกลดลง จากการส่งออกน่าจะหดตัวและการท่องเที่ยวรวมหดตัวหรือน้อยกว่าปีที่แล้ว ทำให้การบริโภคภายในชะลอตัวด้วย จึงมีความเสี่ยงที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) คือ โมเมนตัมต่อไตรมาสอาจจะติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส”
ดังนั้นช่วงที่เหลือของปี ถ้าส่งออกหดตัว ภาคการผลิตจะหดตัวแรงขนาดไหน จะมีการปลดแรงงานหรือโรงงานจะต้องปิดขนาดไหน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นสิ่งที่กังวล โดยเฉพาะครึ่งหลังของปีนี้ เพราะมีข้อสังเกตุจากไตรมาสแรก ที่การส่งออกเติบโตกว่า 13% แต่การผลิตในประเทศโตแค่ 0.6%
สะท้อนชัดว่า การส่งออกไทยกับภาคการผลิตไม่สอดคล้องกัน ซึ่งน่าจะมีช่องว่างจากสินค้าจีน/สินค้าต่างประเทศที่เข้ามา “สวมสิทธิ์” ผ่านเข้ามาเป็นชิ้นสำเร็จเพื่อส่งออกต่อไป
ส่วนประเด็นสงคราม“อิสราเอล -อิหร่าน”นั้น สัญญาณแนวโน้มมีความรุนแรงขึ้น แต่ส่วนตัวให้น้ำหนักต่ำ กรณีการการขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพราะมองว่า น่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะถ้าปิดช่องแคบดังกล่าวเท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันประเทศอื่นในแถบนั้นด้วย
สำหรับผลกระทบต่อไทย น่าจะส่งผ่านเรื่องค่าระวางเรือ ค่าขนส่ง และราคาน้ำมันเป็นหลัก แต่ราคาน้ำมันที่ขยับขึ้นได้ให้น้ำหนักความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันไว้แล้ว
กรณีที่คนกังวลว่า ราคาน้ำมันจะนำไปสู่เป็น 100-120 ดอลลาร์นั้น สถานการณ์ต้องมีความรุนแรงมากกว่านี้ และอาจจะไปถึงขั้นปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพราะน้ำมันจะผ่านประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมด การขนส่งน้ำมันต้องไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ทำให้ค่าระวางเรือ ค่าขนส่งขยับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันขณะนี้ที่ระดับ 70ดอลลาร์ ถ้าเทียบกับปีที่แล้วยังไม่ได้สูงขึ้น
“ครึ่งหลังปีนี้เศรษฐกิจไทยดูแย่ มีโอกาสจะถดถอยเชิงเทคนิค และปีหน้าจีดีพีน่าจะโตต่ำ 1.4% รวมถึงเงินเฟ้อทั่วไปมีโอกาสจะยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย หลังจากหดตัวต่อเนื่อง 2 เดือนทั้งเม.ย.-พ.ค."
อย่างไรก็ตาม มีสิทธิที่จะเห็นเงินเฟ้อหดตัวต่อ จาก 3 ปัจจัยคือ ราคาน้ำมันค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบปีที่แล้ว ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การอุดหนุนราคาพลังงานของภาครัฐ(ลดค่าไฟฟ้า) แต่คาดว่า เงินเฟ้อเดือนมิ.ย.น่าจะสูงกว่าเดือนพ.ค. เพราะปัจจัยฐานสูงที่ค่อยๆปรับตัวลง โดยเงินเฟ้อทั้งปีคงอยู่ที่ 0.5% หรือเต็มที่ 0.7% และเงินเฟ้อยังไม่กลับสู่เป้าหมายในปีนี้
ดังนั้น ดอกเบี้ยนโยบายขณะนี้อยู่ที่ 1.75%ต่อปี แต่เงินเฟ้อใกล้ศูนย์ จึงไม่สอดคล้องกัน ยังต้องการการผ่อนคลายเพิ่มเติมจากนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีกอีก 2ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ จบสิ้นปีดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.25%
“เมื่อเงินเฟ้อไม่เพิ่ม สะท้อนผู้ประกอบการปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ แต่ต้นทุนอื่นๆเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการเหนื่อย ต้องประคองตัว น่าจะชะลอการลงทุน/ชะลอการขยายกำลังผลิต เพราะกำลังซื้อในประเทศน่าเป็นห่วง ยิ่งผู้ประกอบการที่พึ่งพากำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องหันมาปรับลดต้นทุนลงให้ได้”นายเมธัสกล่าวทิ้งท้าย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,106 วันที่ 19 - 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568