สหรัฐฯ เปิดเจรจาภาษีไทย “พิชัย”​ เตรียมจัดทัพใหม่ ยึด 5 กรอบเดิม

07 มิ.ย. 2568 | 03:51 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มิ.ย. 2568 | 03:56 น.

สหรัฐฯ เปิดทางถกภาษีไทย “พิชัย”​ เตรียมจัดทัพทีมเจรจาใหม่ พร้อมยึดกรอบ 5 ข้อเดิม ไม่กังวล หากไม่ทันกำหนด 7 ก.ค.นี้

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้รับการติดต่อจากสหรัฐอเมริกา ถึงการเปิดพื้นที่เข้าไปเจรจานโยบายภาษีการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งจะมีการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดทัพทีมที่จะเข้าไปเจรจากับสหรัฐฯ ใหม่ โดยข้อมูลที่เราเตรียมหารือนั้น จะต้องมีการอัพเดทตลอดเวลา 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ในการหารือระดับผู้ปฏิบัติงานนั้น ได้มีการคุยกันถึงการแก้ไขในบางประเด็น ทั้งเรื่องอัตราภาษีตอบโต้ การนำเข้าของที่เราขาด และการแก้ปัญหาสินค้าที่เราไม่ใช่ผู้ผลิต แต่ออกจากประเทศไทย รวมถึงมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เป็นต้น ซึ่งหลังจากนี้จะมีการหารืออย่างเป็นทางการต่อไป

“เมื่อเขาเรียกเราคุยช้า เราก็จะดูคนอื่นด้วย ว่าเขาคุยอะไรกัน และเราเพิ่งได้รับการติดต่อมาเมื่อคืน ถึงการเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเห็นโจทย์แล้วว่าสหรัฐฯ ต้องการเจรจาในประเด็นไรบ้าง โดยการเจรจายังอยู่ในกรอบข้อเสนอ 5 ข้อ แต่อาจจะมีการปรับลด หรือเพิ่มในบางส่วนเล็กน้อย เพราะเราคุยกันมาโดยตลอดเรารู้ว่าควรจะต้องเพิ่มหรือลดอะไร“

ส่วนจะทันวันที่ 7 ก.ค.68 ที่จะครบกำหนดสหรัฐประกาศเลื่อนจัดเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ไม่ต้องกังวลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากประเมินว่า ทั้งโลกก็ไม่ทันพร้อมกันทั้งหมด 

ขณะเดียวกัน นายพิชัย ยังกล่าวว่า ส่วนตัวเข้าใจการดำเนินนโยบายภาษีสหรัฐฯ มีผลกับทุกประเทศทั่วโลก ไม่ได้เฉพาะประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสรุปแล้วนโยบายภาษีตอบโต้จะออกมาสัดส่วนเท่าใด แต่การขึ้นกำแพงภาษีไทยจะต้องเท่ากับประเทศอื่น ไม่ได้จ่ายภาษีมากกว่าประเทศอื่นก็พอ

สำหรับกรอบการหารือ 5 ข้อเสนอ ได้แก่ 

1.เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย และสหรัฐ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูปและส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ

3.เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตาและข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์

4.บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าเคร่งครัดผ่านการบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า “Made in Thailand” โดยสินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐ

5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์