ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอน และเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ รัฐบาลได้ปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยการชะลอโครงการเรือธงอย่าง “แจกเงินดิจิทัล” มาขับเคลื่อนนโยบายเชิงโครงสร้าง เพื่อวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นการลงทุนแทนการบริโภคระยะสั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบและตอบสนองต่อสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนไป
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ฉายภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยว่า สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)หรือสภาพัฒน์ ประมาณการว่า ปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 1.8% ซึ่งในไตรมาสแรกขยายตัว 3% หากมองจากคาดการณ์ดังกล่าว ช่วงไตรมาสที่เหลือ ตัวเลขเศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยน้อยกว่า 3%
ขณะที่สศค. ประเมินเศรษฐกิจปีนี้ จะขยายตัวได้ 2.1% เพราะประมาณการณ์ไว้ก่อนที่สภาพัฒน์จะแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรก
อย่างไรก็ตาม ถือว่า ตัวเลขประมาณการอยู่ระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งหากไปดูวัฏจักรเศรษฐกิจรายไตรมาสพบว่า ช่วงประมาณไตรมาส 3 และ 4 เศรษฐกิจหลายๆ ภาคอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะใช้งบประมาณที่มีอยู่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
นายพรชัยกล่าวว่า จากการศึกษาและหารือร่วมกับสภาพัฒน์และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า เรื่องที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้าง จากภาคการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ การลงทุนเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ผลการผลิตที่ได้มาลดลง
ทั้งนี้ สัดส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำในปีนี้ มองว่ามี 3 ต่ำ ได้แก่
"ฉะนั้นจึงจะใช้ช่วงเวลานี้เป็นตัวจั๊มสตาร์ท เพื่อเป็นฐานในอนาคตเพื่อให้เกิดการลงทุนที่ดีขึ้นในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม หากจะมองเรื่องการลงทุนนั้น ภาคเอกชนคงไม่มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เป็นหน้าที่ของภาครัฐ เราจึงเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อซัพพอร์ตให้เอกชนเข้ามาลงทุน หรือสนับสนุนให้ภาคประชาชน ที่เป็นเกษตรกรจำนวนมาก
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องปรับวิธีการดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งจากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงได้เสนอรัฐบาลถึงการพัฒนาการลงทุน ผ่านการใช้งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งดำเนินการในลักษณะระยะสั้น กลาง และยาว
สำหรับระยะสั้น จะดำเนินโครงการที่มีความพร้อม โดยสภาพัฒน์รายงานว่า มีแผนการลงทุนที่ทำไว้ครอบคลุม การคมนาคม น้ำ การท่องเที่ยวและอื่นๆ วงเงินรวม 3.33 ล้านล้านบาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์รายละเอียดโครงการชัดเจน
ดังนั้น สภาพัฒน์และสำนักงบประมาณ จึงกลับไปดูความพร้อมของโครงการ เพื่อให้เร่งเดินหน้าการลงทุนได้ก่อน โดยเรื่องที่จะสามารถดำเนินการได้เลยคือ เรื่องการดูแลบริหารจัดการน้ำ ถนน ซึ่งเป็นพื้นฐานการผลิตทั้งหมด
ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ
ทั้งนี้สาเหตุที่ปรับเปลี่ยนจากการกระตุ้นบริโภคภายในประเทศ เป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจปรับเปลี่ยนไป และพบว่า สาเหตุที่สำคัญคือ โครงสร้างที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจเรา ไม่ได้ปรับให้มีความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการเข้าไปเน้นการลงทุน ยังมีการกระตุ้นใช้จ่ายผ่านการบริโภค เช่น การท่องเที่ยว ที่จะดูแลการใช้จ่ายการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน หากเราดูแลทางด้านการลงทุน เม็ดเงินที่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจ จะลงไปในด้านการซื้ออุปกรณ์ วัตถุดิบการก่อสร้าง ที่มีผลต่อซัพพลายเชน และยังรวมถึงค่าแรง ซึ่งจะส่งผ่านไปยังการบริโภคกลุ่มคนที่ทำงานในส่วนนี้
“วันแรกที่รัฐบาลจ่ายเม็ดเงินลงไปนั้น ลงในระบบ 100% หากเปรียบเทียบกับการโอนเงินให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 10,000 บาท หรือโครงการแจกเงิน 10,000 บาท อื่นๆ นั้น พบว่า ในสถิติ 100% ที่ประชาชนได้รับ มีส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ ประชาชนเก็บออม ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า มีส่วนรั่ว ไม่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด แต่การดูแลเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ภาพที่ลงสู่เศรษฐกิจก็จะเป็นการกระตุ้นคนละส่วน แต่สุดท้ายก็ลงไปสู่รายได้ประชาชนเช่นเดียวกัน” นายพรชัยกล่าว
ขณะที่ขั้นตอนการเดินปรับโครงสร้างเศรษฐกิจต่อจากนี้ คือ หน่วยรับงบประมาณจะต้องยื่นข้อเสนอโครงการ มาที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ขณะเดียวกัน ต้องยื่นโครงการเข้าสู่ระบบคำขอสำนักงบประมาณด้วย เพื่อให้สำนักงานทำคำของบประมาณควบคู่กันไป โดยการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการฯ จะพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ได้แก่
“ที่สำคัญ คือ งานที่ทำจะต้องไม่ไปโหลดงานอื่นจากงานปกติ มิฉะนั้น อาจจะทำให้โครงการที่ทำอยู่มีปัญหาทั้ง 2 โครงการ ซึ่งเราจะพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย"
โดยคณะกรรมการกลั่นกรองจะมีการพิจารณาโครงการในช่วงต้นเดือนมิ.ย.68 ได้แก่ สศค. สภาพัฒน์ และสำนักงบประมาณ เพื่อวิเคราะห์โครงการต่างๆ ถือเป็นครั้งแรกที่เราทำงานร่วมกัน จากนั้นจะเสนอโครงการให้คณะอนุกรรมการฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ต่อไป
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่อนุมัติโครงการแล้ว จะนำเรียนสู่วาระพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหากมีการอนุมัติโครงการแล้ว โครงการนั้นสามารถยื่นคำของบประมาณไปที่สำนักงบประมาณได้ทันที และเมื่อสำนักงบประมาณได้จัดสรรวงเงินแล้ว สามารถเริ่มเดินหน้าโครงการได้เลย ซึ่งจะต้องเบิกจ่ายเงินในปีงบประมาณ 2568 ส่วนระยะต่อไปก็ต้องมาพิจารณากันต่อในงบประมาณปี 2569
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,102 วันที่ 5 - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568