ปิดฉาก 9 ปี “ยิ่งลักษณ์”ชดใช้คดีจำนำข้าว 10,028 ล้านบาท

22 พ.ค. 2568 | 23:00 น.

ศาลปกครองสูงสุด สั่ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ชดใช้จำนำข้าวกว่า 10,028 ล้านบาท เหตุประมาทเลินเล่อร้ายแรงปล่อยให้เกิดทุจริตการระบายข้าวรัฐต่อรัฐ

KEY

POINTS

  • ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ต้องชดใช้กว่า 10,028 ล้านบาท โครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ที่ละเลยต่อหน้าที่ แม้จะทราบถึงปัญหาทุจริต แต่กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบหรือควบคุมอย่างจริงจัง  
  • ศาลสั่งลดวงเงินรับผิดเหลือเฉพาะส่วนความเสียหายจริง คำสั่งของกระทรวงการคลังที่เรียกให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้มากถึง 35,717 ล้านบาท เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • คุ้มครองสิทธิสามีในฐานะเจ้าของร่วม ให้กันส่วนทรัพย์สินที่ยึดไปแล้ว 37 รายการ ที่ได้มาในช่วงที่ยิ่งลักษณ์ และ อนุสรณ์ ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภริยา คืนให้ อนุสรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของร่วมตามกฎหมาย
     

คดีชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีจุดเริ่มต้นจากการที่กระทรวงการคลัง ออกคำสั่งที่ 135/2559 เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028 บาท 

ต่อมา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2566 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา “เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง” โดยเห็นว่า กระทรวงการคลังไม่สามารถนำพยานหลักฐานมายืนยันได้ชัดเจนว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ มีเจตนา หรือเป็นผู้กระทำละเมิดโดยตรง 

จากวันนั้น มาถึง ณ วันที่ 22 พ.ค. 2568 “ศาลปกครองสูงสุด” มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี เป็นเงินกว่า 10,028 ล้านบาท 

ล่วงเลยมาเกือบ 9 ปี คดีนี้จึงถึงที่สุด ...ถือเป็นอีกหนึ่ง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทย”

คดีดังกล่าว นางสาวยิ่งลักษณ์ และ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี ร่วมกันยื่นฟ้อง นายกฯ  รมว.คลัง รมช.คลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และ เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร  กรณีที่ร่วมกันมีคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

“ยิ่งลักษณ์”ประมาทเลินเล่อ

ทั้งนี้ผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษา โดยสรุป ดังนี้ 

กรณี ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (ยิ่งลักษณ์) จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) เพียงใดนั้น ศาลเห็นว่า ความเสียหายเฉพาะในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ทราบปัญหาการทุจริตแล้ว แต่ไม่ได้มีการติดตามกำกับดูแล โดยเฉพาะในการติดตามดูแล หรือตรวจสอบการทุจริตตามสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะประธาน กขช. เข้าร่วมประชุม กขช. แค่เพียงครั้งเดียว 

จากพฤติการณ์ดังกล่าว จึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกฯ และในฐานะประธาน กขช. ซึ่งมีหน้าที่ติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตาม หรือ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบเพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย 

โดยวิสัยของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า ควรที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏตามหนังสือทักท้วงของหน่วยตรวจสอบว่า มีความเสียหายเกิดขึ้นตามที่ได้รับรายงานหรือไม่ หรือติดตามดูแลการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ อย่างใส่ใจ 

แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับเพิกเฉยหรือละเลย จนเกิดการทุจริตขึ้นในขั้นตอนการระบายข้าว ส่งผลให้มีปัญหาการระบายข้าวไม่ทันต้องเก็บรักษาข้าวในคลังเป็นเวลานาน จนข้าวเสื่อมคุณภาพและสูญเสีย
 อีกทั้งไม่คำนึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอของหน่วยงาน ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินการตามโครงการต่างๆ ของรัฐ รวมทั้งการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด 

พฤติการณ์แห่งการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ เกิดจากการแอบอ้างทำสัญญาซื้อขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริต ได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ มีความเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท 

                        ปิดฉาก 9 ปี “ยิ่งลักษณ์”ชดใช้คดีจำนำข้าว 10,028 ล้านบาท

เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับทราบปัญหากรณีการทุจริตในการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือก กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบ ติดตาม หรือ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน  ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพียงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบและดำเนินการต่อไป แล้วรอรายงานจากเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เมื่อได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่า ไม่มีการทุจริต ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ก็เชื่อรายงานดังกล่าว ทั้งที่แตกต่างจากผลการตรวจสอบของหน่วยงานตรวจสอบอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกฯ และประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ทั้งมีอำนาจตามกฎหมายในการระงับยับยั้ง หรือ แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่มิได้ดำเนินการดังกล่าว 

ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ จึงสมควรกำหนดสัดส่วนความรับผิดของผู้ฟ้องคดีที่ 1 โดยให้รับผิดในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายจากการระบายข้าวฯ ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ จำนวน 20,057,723,761.66 บาท คิดเป็นเงินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดจำนวน 10,028,861,880.83 บาท

ดังนั้น คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 เฉพาะส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อคำสั่งกระทรวงการคลัง เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาดในส่วนที่เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

และเมื่อทรัพย์สินนั้น เป็นทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้มาภายหลังจากการที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยา โดยมีเจตนาเปิดเผยตั้งแต่เดือน พ.ย. 2538 อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองยังได้มีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสอง อยู่อาศัยร่วมกันตลอดมา และมีเจตนาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกัน ผู้ฟ้องคดีที่ 2 (อนุสรณ์ อมรฉัตร) จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม 

คำสั่งศาลปกครองสูงสุด

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็น ดังนี้ 

1. ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป

2. ให้เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9 ที่มีคำสั่ง ประกาศหรือการดำเนินการใด ๆ ในการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด เฉพาะในส่วนที่เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป

3. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 (ปลัดกระทรวงการคลัง) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) ดำเนินการสั่งการเกี่ยวกับการขอกันส่วนทรัพย์สินที่ถูกยึดเพื่อนำมาขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ 2 จำนวน 37 รายการ และแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 (กรมบังคับคดี) จัดทำบัญชีรับ-จ่าย เพื่อกันส่วนให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะเจ้าของรวม รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ทราบ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษา
 

รายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4099 หน้า 12 ระหว่างวันที่ 25-28 พ.ค. 2568