ทุกครั้งที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นฟองสบู่แตกในปี 2540 การระบาดของโควิด-19 หรือผลกระทบจากสงครามการค้าระดับโลก บทบาทหนึ่งที่มักไม่เป็นที่กล่าวถึงมากนักในสายตาสาธารณะ แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ก็คือ “กรมสรรพากร” หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดเก็บรายได้ภาษีของประเทศ
ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจย่ำแย่ การรักษาระดับรายได้ภาครัฐให้เพียงพอต่อการเยียวยา ฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ต้องพึ่งพาการกู้เงินจำนวนมาก คือภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับกรมสรรพากร การเก็บภาษีในช่วงที่ผู้เสียภาษีประสบปัญหา จึงต้องดำเนินด้วยความเข้าใจ ความยืดหยุ่น และอยู่บนพื้นฐานของ “สมดุล” ระหว่างรายได้ของรัฐกับความสามารถในการแบกรับภาระของภาคประชาชนและธุรกิจ
ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ประเทศไทยเผชิญภาวะหนี้ภาษีอากรค้างจำนวนมาก เนื่องจากวิธีการเก็บภาษีแบบเดิมที่เน้นการตรวจสอบย้อนหลัง กลายเป็นภาระซ้ำเติมผู้ประกอบการในช่วงที่สภาพคล่องขาดแคลน
กรมสรรพากรจึงได้ปรับเปลี่ยนแนวทางสู่การ “กำกับดูแลให้เสียภาษีอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น” ลดการตรวจย้อนหลังและมุ่งส่งเสริมให้ผู้เสียภาษีมีความสมัครใจในการปฏิบัติหน้าที่แทน
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลนำมาซึ่งความก้าวหน้า แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มความซับซ้อนในการจัดเก็บภาษี เพราะรายได้จำนวนมากสามารถไหลเข้าประเทศโดยไม่มีสถานประกอบการจริง ก่อให้เกิดการกัดกร่อนฐานภาษี (Base Erosion) และการโยกย้ายกำไร (Profit Shifting)
กรมสรรพากรจึงเร่งปรับตัว โดยยึดแนวทางตามกรอบความร่วมมือของ OECD และ G20 ภายใต้โครงการ Inclusive Framework on BEPS
หนึ่งในความสำเร็จเชิงรูปธรรมคือ การเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากบริการอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ให้บริการอยู่ต่างประเทศ จากระบบ Reverse Charge เป็นระบบที่กำหนดให้ผู้ให้บริการเหล่านี้ต้องมาจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทย
ผลที่ได้คือ รายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นกว่าปีละ 6,000 ล้านบาท และล่าสุด ยังได้มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับ Pillar 2 หรือ Global Minimum Tax ซึ่งจะป้องกันไม่ให้บรรษัทยักษ์ใหญ่หลีกเลี่ยงภาษีโดยย้ายฐานกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษี
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจอย่างกว้างขวาง กรมสรรพากรมีบทบาทเชิงรุกทั้งด้านการเยียวยา ฟื้นฟู และเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นการขยายเวลายื่นภาษี การให้หักรายจ่ายดอกเบี้ย Soft Loan ได้ 1.5 เท่า การส่งเสริมการจ้างงานด้วยการให้หักรายจ่ายค่าจ้างได้ 3 เท่า ตลอดจนการยกเว้นภาษีในมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ และสนับสนุนการบริจาคเพื่อสาธารณสุขด้วยการเพิ่มสิทธิลดหย่อน
นอกจากนี้ ยังใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนผ่านนโยบายภาษี เช่น “ช้อปดีมีคืน” ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจได้ในช่วงเวลาที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจตกต่ำ โดยไม่เป็นภาระด้านงบประมาณในระดับที่สร้างหนี้ใหม่
ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันใหม่จากนโยบาย American First Trade Policy ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อจำกัดทางการค้าและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก กรมสรรพากรจึงเดินหน้า “คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม” ให้เร็วขึ้น เพื่อเสริมสภาพคล่อง โดยใช้เทคโนโลยี AI คัดกรองและลดการตรวจสอบส่วนที่ไม่มีความเสี่ยง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดการภาระงานที่จำเป็นได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน บทบาทของกรมสรรพากรไม่เคยจำกัดแค่การเป็นหน่วยจัดเก็บรายได้ แต่ได้ขยับสู่การเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านภารกิจที่ต้อง “เดินบนเส้นบาง ๆ” ระหว่างการดูแลรายได้รัฐและไม่ซ้ำเติมประชาชน ความสามารถในการปรับตัวทั้งในเชิงกฎหมาย ระบบดิจิทัล และการสื่อสารกับผู้เสียภาษี คือจุดแข็งที่ทำให้กรมสรรพากรยังคงยืนหยัดในฐานะ “เสาหลักเงียบ” ในทุกยุควิกฤติของเศรษฐกิจไทย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,099 วันที่ 25 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568