สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ปรับประมาณการ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ( GDP) ของไทยในปี 2568 ลงเหลือโต 1.3-2.3% (ค่ากลาง 1.8%) นั้น ไม่ได้เป็นการมองในแง่ร้ายเกินไป
เนื่องจากสภาพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากหลายปัจจัย ซึ่งการปรับประมาณการดังกล่าว เพื่อให้ภาคเอกชนได้มีความตระหนักถึงแนวโน้มผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยมีผลมาจากกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกามีผลต่อภาคส่งออกมีแนวโน้มหดตัว
กระทบสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม อ่อนแอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความท้าทายที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) เผชิญในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รายงานการวิเคราะห์จากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า SMEs จำนวนมากในภาคเหนือพึ่งพาเงินทุนส่วนตัวและเครดิตการค้า เนื่องจากมีข้อจำกัดในการเพิ่มรายได้และศักยภาพในการทำกำไรลดลง ทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อ แหล่งข่าวอื่น ๆ ชี้ให้เห็นถึง ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในวงกว้าง เช่น การปรับลดการประมาณการ GDP ของไทย และผลกระทบจากนโยบายภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งยิ่งเพิ่มความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ล่าสุดเมื่อวันที่20 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติ เห็นชะลอ โอนงบแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000บาท 1.57 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงาน โดยกระจาย 4 โครงการ ลงทุนแหล่งน้ำใหม่ แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กของคมนาคม อีกทั้งยัง สนับสนุน ภาคท่องเที่ยวบริการ ภาคส่งออก ธุรกิจเอสเอ็มอี
แหล่งข่าวจากแวดวงผู้รับเหมากล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลชะลอโครงการ แจกเงินดิจิทัลออกไปและนำเงินที่มีอยู่กระจายให้เกิดการจ้างงาน อาทิ แหล่งน้ำ โครงข่ายถนนในชุมชน ภาคท่องเที่ยว รวมถึงการให้ความช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีโอกาสยืดลมหายใจ ขณะเดียวกันต้องการให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้รับเหมารายเล็กหรือกลุ่มเอสเอ็มอี เพื่อพยุงธุรกิจให้เดินต่อได้
นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า ปัญหาใหญ่ของภาคก่อสร้างคือสภาพคล่อง ที่เรียกร้องมาโดยตลอด คือสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสภาวะเช่นนี้ เข้าใจ ว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่ สมาคมฯมีข้อเสนอ ว่า ราชการ เจ้าของโครงการ ต้องเบิกจ่ายเงินล้วงหน้า รายงวดงาน และให้สถาบันการเงินค้ำประกัน
เพื่อให้เกิดสภาพคล่องงานเดินต่อได้ จากเดิมจ่าย 10% ทั้งสัญญาหรือทั้งโครงการที่ประมูลส่งผลให้ ผู้รับเหมา นำเงินไปใช้ผิดระบบ ผิดประเภท ขณะโครงการขนาดใหญ่มองว่านำออกมาไม่มาก ต้องรองบประมาณใหม่ เชื่อว่าต้องใช้เวลา