กรณีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทั้งปี2568 ขยายตัวเพียง 1.8% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 2.8% ซึ่งมีผลมาจากความเสี่ยง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง จากการซ้ำเติมภาษีสหรัฐอเมริกา และจะเห็นภาพการชะลอตัวที่ชัดเจนในไตรมาสที่3
ขณะไตรมาส 1 ขยายตัว 3.1%เป็นผลมาจากการเร่งการนำเข้าสินค้าจากประเทศปลายทางเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการการค้าจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่คงไว้ใจไม่ได้เพราะระยะข้างหน้า การค้าระหว่างประเทศจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้ารายประเทศ (Reciprocal tariff) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป
รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยไฮไลต์ นายกฯได้สั่งชะลอการแจงเงินดิจิทัล 10,000บาท ในเฟสที่3 วงเงิน1.57แสนล้านบาท สำหรับกลุ่มวัยรุ่นออกไป หนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนำวงงินดังกล่าวไปกระตุ้นการจ้างงาน เกี่ยวกับการแก้ปัญหาน้ำ ภาคขนส่ง ธุรกิจเอสเอ็มอีฯลฯ
เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับงบประมาณที่รัฐบาลต้องนำมาใช้ที่จำเป็นเร่งด่วนก่อนจากการรับมือภาษีสหรัฐฯซึ่งมาตรการเร่งด่วน พบว่ากระทรวงการคลังมอบธนาคารออมสิน ปล่อนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟต์โลน ดอกเบี้ย 2-3% เพิ่ม อีก 1 แสนล้าน ให้กับผู้ออกตลาดสหรัฐฯ และเสริมสภาพคล่องธุรกิจ SMEs
รวมถึงการรับมือสินค้านำเข้าราคาถูกเกรดต่ำจากจีนทะลักไทย ยังไม่รวมการขยายโครงการแก้หนี้ "คุณสู้ เราช่วย" เปิดโอกาสลูกหนี้ค้างชำระ 1 วัน พักดอกเบี้ย 3 ปี หนี้ต่ำจ่าย 10% จบหนี้ทันที โดยจะเสนอคณะรัฐมาตรี(ครม.) ภายในเดือนมิถุนายนนี้
ทั้งนี้ทั้งชอฟโลนต์และโครงการคุณสู้เราช่วย เป็นมาตรการที่ภาคอสังหาริมทรัพย์สนับสนุนรวมถึงการผ่อนปรนมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ทุกระดับราคาโดยไม่จำกัดที่เพดานไม่เกิน7ล้านบาท
นายพรนริศ ชวนไชยสทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่านับตั้งแต่ไตรมาส2เป็นต้นไปเศรษฐกิจไทย มีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบภาษีทรัมป์ ขณะเดียวกันสมาคมสนับสนุนรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ผ่านสถาบันการเงิน ทั้งผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย แต่ มองว่าไม่ง่าย เพราะเมื่อสถาบันการเงินเห็น จีดีพีขยายตัวต่ำ ผลกระทบภาษีทรัมป์มารอ แน่นอนว่า คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเพราะสถาบันการเงินต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ปล่อยสินเชื่อออกไปและอาจกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต
“ยอมรับว่าในสภาวการณ์เช่นนี้ มาตรการอะไรที่ออกมาแทบรับมือไม่ไหวแต่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่าไม่มี “