กรณี การเจรจาการค้าระหว่าง สหรัฐและจีนที่ล่าสุด ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันลง115% โดยสหรัฐฯ จะลดภาษี จากเดิม145%เหลือ 30% ให้จีนขณะที่จีนจะลดภาษีให้สหรัฐจากเดิม 125 % ลงเหลือ 10 % นั้น
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า มองว่าสินค้าจีนที่คิดย้ายฐานการผลิตมาไทย น่าจะชะลอดูสถานการณ์ ยังไม่ย้ายมาเนื่องจากภาษีไทย สูงกว่ามากหากส่งไป สหรัฐฯ ยอดส่งออกไทยที่รัฐบาล ยืนยันว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จะดิ่งลง เนื่องจากเป็นการสั่งสินค้าเพื่อกักตุนก่อนขึ้นภาษี ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้การยืดเวลาออกไปอีก90วัน มีผลให้คลายกังวล คล้ายว่าเรื่องจะจบ ผู้บริโภค ที่เคยจะสต็อกสินค้าตุนไว้ก็รอความชัดเจน แต่ในระยะยาวๆน่าจะยังไม่จบเรื่องเนื่องจาก สหรัฐฯทำเช่นนี้การขาดดุลการค้ากับจีนก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร เหมือนเพียงเป็นการลดความตึงเครียดของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลชั่วคราว ประเด็นคือ ประเทศอื่นๆจะมีผลการเจรจาเป็นอย่างไรยังตอบได้ยาก
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าขณะนี้จีน ได้ย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีที่ต่ำกว่าไทย เช่น ประเทศสิงค์โปร ฯลฯ ขณะที่ไทย ยังไม่มีความชัดเจนในการเจรจา โดยผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และการตัดสินใจของบริษัทต่างๆ ในการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพักรบชั่วคราว 90 วันในสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ โดยที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนได้ลดภาษีนำเข้าซึ่งกันและกันลง นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ว่า ประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตดังกล่าวมากน้อยเพียงใด โดยมีการระบุว่า ประเทศไทยอาจไม่ใช่ผู้ได้รับประโยชน์หลักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
เนื่องจากปัญหาความสามารถในการแข่งขันและความเสี่ยงที่จีนจะใช้ไทยเป็นเพียงทางผ่านสินค้า โดยแหล่งข่าวบางแห่งได้นำเสนอการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และไต้หวันอาจเป็นจุดหมายปลายทางหลักของการย้ายฐานการผลิตมากกว่าประเทศไทย
แม้ว่าประเทศไทยจะมีข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนค่าแรงที่ต่ำกว่าและความคล้ายคลึงของสินค้าส่งออกกับจีนก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของไทยคือเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งส่งผลต่อนโยบายที่ไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ เหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทจีนในการย้ายฐานการผลิต หรือประเภทของการลงทุนที่เข้ามาในไทยได้แก่
1.ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทยเองทำให้นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่าประโยชน์ที่ไทยได้รับอาจน้อยกว่าประเทศอื่น
2.ความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจีนจะใช้ไทยเป็นเพียง "ทางผ่าน" ของสินค้าไปยังสหรัฐเท่านั้น (Rerouting) ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในไทยน้อยมาก และยังเสี่ยงกับการถูกมาตรการตอบโต้จากสหรัฐ
3.ฐานแรงงานด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) ของไทยอาจไม่ได้เข้มแข็งเท่าประเทศคู่แข่งบางประเทศ ทำให้ไทยเสียเปรียบในการรองรับการย้ายฐานการลงทุน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสินค้าส่งออก
4.การลงทุนที่เข้ามาในไทยอาจไม่ได้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยและคนไทยมากนักยกตัวอย่างเช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่แม้มีมูลค่าลงทุนมหาศาล แต่เป็นการนำเข้าอุปกรณ์เกือบทั้งหมด มีการจ้างงานต่ำมาก และใช้เทคโนโลยีควบคุมเป็นหลัก
ด้านดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ตั้งคำถามว่าภาครัฐมีการวิเคราะห์ถึงผลประโยชน์ที่จะตกกับประเทศไทยและคนไทยอย่างแท้จริงหรือไม่และชี้ว่าไทยมักจะต้องทำตามที่นักลงทุนต่างชาติต้องการใช้เป็นฐานผลิต แทนที่จะเป็นผู้กำหนดอนาคตตัวเอง โดยพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจคือการสร้างงานที่ดีให้คนไทย ถ้าการลงทุนไม่ตอบโจทย์นี้ ก็ถือว่าไม่ตอบโจทย์เศรษฐกิจประเทศ
เมื่อเปรียบเทียบดุลการค้าในปี 2566 ไทยมี การขาดดุลการค้าจากจีนมากกว่าเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ ในขณะที่เวียดนามและมาเลเซียมีมูลค่าเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ สูงกว่าการขาดดุลการค้าจากจีนอย่างมีนัยสำคัญ การขาดดุลกับจีนส่วนใหญ่มาจากสินค้าอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เวียดนามและมาเลเซียมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้ามากกว่าไทย
ดังนั้น แม้ว่าจีนจะชะลอการย้ายฐานมาไทย แต่ประเด็นเรื่อง ความสามารถในการแข่งขันที่จำกัดของไทย ความเสี่ยงของการเป็นเพียงทางผ่านและ ประเภทของการลงทุนที่เข้ามาซึ่งอาจมีมูลค่าเพิ่มหรือการสร้างงานที่จำกัด