บีโอไอรับยอดผลิต EV ต่ำเป้า หลังตลาดในประเทศ-ส่งออกยังไม่ฟื้น

14 พ.ค. 2568 | 06:19 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ค. 2568 | 06:19 น.

บีโอไอเผยยอดผลิต EV ต่ำกว่าเป้าหมาย หลังตลาดในประเทศและการส่งออกยังไม่ฟื้นตัว เชื่อยอดการลงทุนปี 68 ยังมีแนวโน้มดี แม้ถูกกระทบจากภาษีสหรัฐ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า บีโอไอได้สนับสนุนบริษัทรถยนต์ที่ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ผลิตที่รับการส่งเสริม EV3.0 ได้เริ่มผลิตชดเชยตั้งแต่ปีที่แล้ว 

ซึ่งกำลังผลิตรถอีวีในไทยทั้งหมดยอดรวมมากกว่า 4 แสนคัน แต่ไม่ใช่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ถือว่าไม่สามารถผลิตได้เต็มกำลัง เนื่องจากตลาดอีวีในไทยและส่งออกยังไม่ฟื้นตัว ยอดผลิตจริงเป็นอีกประเด็นที่ต้องขึ้นกับสถานการณ์ของตลาดด้วย 

โดยบริษัทดังกล่าวเหล่านี้ก็พยายามหาตลาดส่งออกด้วย เพราะฉะนั้นหากตลาดมีการฟื้นตัวได้ดีกว่านี้ รวมทั้งตลาดส่งออกด้วยก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสที่จะมีการผลิตในปริมาณที่เพียงพอ 

ส่วนผลกระทบการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เฉพาะรถยนต์ นั้น จริงๆ แล้วภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และบีโอไอยังเชื่อว่าผลของการเจรจาจะเป็นผลที่ดีของภาคอุตสาหกรรม โดยในแง่ของบีโอไอก็กำลังหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมนโยบายและมาตรการด้านภาษีนำเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ดบีโอไอในวันที่ 19 พ.ค. 2568 เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ใหม่ๆ ออกมาเพื่อจะรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

บีโอไอรับยอดผลิต EV ต่ำเป้า หลังตลาดในประเทศ-ส่งออกยังไม่ฟื้น

รวมถึงทิศทางของโลกที่เกิดขึ้นด้วย ดังนั้น มาตรการที่ออกมาจะช่วยส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับสถานการณ์ในโลกยุคใหม่ได้ ซึ่งมีทั้ง 2 ส่วน คือส่วนที่ปรับใหม่จากเดิมและเพิ่มมาตรการใหม่ด้วย

"จากนโยบายกระทรวงการคลังที่ว่า ต่อไปนี้การลงทุนจะดูที่สัญชาติไม่ได้ดูที่โลโคคอนเทนท์เป็นหลัก ซึ่งจะมีส่วนในการพิจารณาเพื่อลงทุนด้วย ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่บีโอไอพยายามทำมาตรการในช่วงที่ผ่านมา คือมาตรการด้านการลงทุนระหว่างต่างชาติและคนไทย เพราะเมื่อบีโอไอเดินทางไปเชิญชวญต่างชาติมาลงทุนโดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี ก็อยากให้คนไทยได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีในบริษัทที่จัดตั้งในประเทศไทย และกำลังพิจารณาแนวทางเพื่อขยายไปอุตสาหกรรมอื่นนอกจากยานยนต์ที่ได้ออกมาแล้ว"

ส่วนข้อเสนอแนะที่จะสนับสนุนการลงทุนหลักๆ จะมีเครื่องมือ 3 ส่วน ประกอบด้วย 

  • บีโอไอ ถือเป็นเครื่องมือด้านบริการ เช่น การจัดหลักสูตรเทรนนิ่งผู้ประกอบการในการลงทุนซึ่งทำต่อเนื่องมากว่า 20 รุ่นแล้ว เพื่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ไปถึงหน่วยงานราชการปลายทาง 
  • กระทรวงการคลัง สนับสนุนด้านภาษี ซึ่งถ้าการลงทุนต่างประเทศแล้วมีกำไรกลับมาจะมีเงื่อนไขต่างๆ เช่นต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่าสัดส่วนที่กำหนด และต้องไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น 
  • เครื่องมือทางการเงิน โดย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิม แบงก์) จะมีเครื่องมือในการช่วยสนับสนุนด้านเงินทุนต่างๆ 

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า ทั้ง 3 ส่วนทำงานร่วมกัน อีกทั้งยังมีส่วนสนับสนุนปลายทาง คือ สถานทูตที่มีทั้งทูตพาณิชย์ และสำนักงานบีโอไอ เพื่ออำนวยความสะดวกการลงทุนปลายทางด้วย เช่น ประเทศเป้าหมายต่างประเทศที่สำคัญของสหรัฐ คือ อาเซียน บีโอไอก็จะมีออฟฟิศที่ไปตั้งในเวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นต้น รวมถึงตะวันออกกลางที่มีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มีศักยภาพสูงเป็นกลุ่มประเทศที่มีคนไทยไปลงทุนสูง 

"ยังมั่นใจว่ายอดการลงทุนในปีนี้น่าจะมีแนวโน้มที่ดี แม้จะมีเรื่องของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เพราะท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาสที่ไทยยังเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความพร้อม ซึ่งไทยเป็นประเทศที่ไม่มีความขัดแย้งกับใคร รวมถึงความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชน บุคลากร มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ มีไฟฟ้าที่เสถียรและมีศักยภาพในการจัดหาไฟฟ้าได้เพียงพอ มีไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด รวมทั้งมีที่ดินที่รองรับอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ถือเป็นจุดแข็งที่ประเทศไทยเมื่อนักลงทุนต้องการย้ายฐายการผลิตจะเริ่มต้นธุรกิจจะรวดเร็วได้ที่ไทยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์"