“บีโอไอ” เผยยอดขอส่งเสริมลงทุนไตรมาส1/68 พุ่ง 4.3 แสนล้าน

30 เม.ย. 2568 | 03:42 น.
อัปเดตล่าสุด :30 เม.ย. 2568 | 03:42 น.

บีโอไอเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาส1/68 รวมกว่า 4.3 แสนล้าน เชื่อแนวโน้มทั้งปียังเติบโตสูง และได้รับความสนใจต่อเนื่อง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 ยังเติบโตสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านจำนวนโครงการและเงินลงทุน 

ส่วนของตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 822 โครงการ เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของประเทศไทย

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง ได้แก่ 

  • ดิจิทัล 94,735 ล้านบาท (40 โครงการ) 
  • อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 87,814 ล้านบาท (122 โครงการ) 
  • ยานยนต์และชิ้นส่วน 23,499 ล้านบาท (72 โครงการ) 
  • การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 17,517 ล้านบาท (102 โครงการ) 
  • ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 13,942 ล้านบาท (81 โครงการ) 
  • เกษตรและแปรรูปอาหาร 12,719 ล้านบาท (61 โครงการ) 
  • การท่องเที่ยว 9,261 ล้านบาท (10 โครงการ) 
  • การแพทย์ 8,034 ล้านบาท (25 โครงการ)

“บีโอไอ” เผยยอดขอส่งเสริมลงทุนไตรมาส1/68 พุ่ง 4.3 แสนล้าน

ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 618 โครงการ เพิ่มขึ้น 43% เงินลงทุนรวม 267,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62%

โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 

  • ฮ่องกง 135,159 ล้านบาท 
  • จีน 47,308 ล้านบาท 
  • สิงคโปร์ 38,075 ล้านบาท 
  • ญี่ปุ่น 25,111 ล้านบาท 
  • ไต้หวัน 4,756 ล้านบาท 
  • เนเธอร์แลนด์ 2,142 ล้านบาท 
  • มาเลเซีย 1,919 ล้านบาท 
  • ไอร์แลนด์ 1,628 ล้านบาท 
  • ฝรั่งเศส 1,531 ล้านบาท 
  • นอร์เวย์ 1,418ล้านบาท 

อย่างไรก็ดี พื้นที่เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีมูลค่า 246,555 ล้านบาท จาก 444 โครงการ รองลงมา ได้แก่ 

  • ภาคกลาง 152,525 ล้านบาท 
  • ภาคใต้ 17,256 ล้านบาท 
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5,551 ล้านบาท 
  • ภาคตะวันตก 3,980 ล้านบาท 
  • ภาคเหนือ 2,930 ล้านบาท

นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart และ Sustainable Industry) ซึ่งเป็นการลงทุนปรับปรุงกิจการเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผู้ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรก ปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 82 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 5,548 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต และการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้ในกิจการ

การอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในไตรมาสแรกของปี 2568 มีจำนวน 776 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 582,225 ล้านบาท โดยประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติเหล่านี้ คาดว่าจะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 1.9 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด เกิดการจ้างงานคนไทยประมาณ 60,000 ตำแหน่ง และทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3.9 แสนล้านบาท/ปี ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดมีจำนวน 660 โครงการ เงินลงทุนรวม 236,778 ล้านบาท

 

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า สถิติการลงทุนในไตรมาสแรกแสดงให้เห็นถึงโมเมนตัมของการลงทุนในประเทศไทยที่ยังมีอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่จากนี้ไปนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา การแบ่งขั้วและการกีดกันทางเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจ จะทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งจากสหรัฐอเมริกา จีน และคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน 

โดยประเทศไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ให้ได้รับโอกาสสูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในครั้งนี้ ในส่วนของนโยบายส่งเสริมการลงทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือเพิ่มเติมกับฝ่ายต่าง ๆ เพื่อเตรียมเสนอบอร์ดปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 

และสามารถตอบโจทย์ทิศทางใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานที่มีคุณค่าสูง การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การร่วมทุน การใช้วัตถุดิบในประเทศ การรักษาระดับการแข่งขันให้เหมาะสม 

รวมถึงการปกป้องอุตสาหกรรมบางประเภทที่ผู้ประกอบการไทยมีความเปราะบาง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนที่ไม่ได้มีเพียงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ แต่ยังจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยและคนไทยได้อย่างแท้จริง