ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความวิเคราะห์เรื่อง World Trade War Economic Crisis วิกฤตสงครามการค้าสหรัฐฯ คุกคามเศรษฐกิจโลกและไทย มีเนื้อหาที่น่าสนใจว่า World Trade War สงครามการค้าของสหรัฐอเมริกากำลังก่อตัวยกระดับเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกแห่งศตวรรษที่ 21 เกิดจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีตอบโต้การค้าขาดดุล (Reciprocal Tariff Tax)
เฟสแรก ปรับทุกประเทศร้อยละ 10 จากอัตราที่เรียกเก็บอยู่แล้วหรือ MFN : Most Favored Nation มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขผ่อนปรนสำหรับสินค้าที่ยกตู้หรือระหว่างขนส่งเข้าสหรัฐฯ จนถึงเวลา 00.01 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคม 2568
การเก็บภาษีนำเข้าเฟส 2 มีอัตราต่างกัน ของจีนถูกปรับอัตราหลายครั้งจนมาอยู่ที่ร้อยละ 245 ไทยถูกเรียกเก็บอัตราร้อยละ 36 ในอาเซียนกัมพูชาถูกเรียกเก็บร้อยละ 49 เวียดนามร้อยละ 46 อินโดนีเซียร้อยละ 32 มาเลเซียร้อยละ 24 ฯลฯ ต่อมามีการผ่อนปรน (ยกเว้นจีน) ขยายระยะเวลาออกไป 90 วันโดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 7 กรกฎาคม 2568
ดร.ธนิต ระบุว่า ประเทศต่างๆ มากกว่า 75 ประเทศส่งคณะเจรจาไปรอคิวเพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ ซึ่งบางประเทศยกเว้นภาษีเป็นศูนย์ก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ประเทศไทยมีการเตรียม “Thailand Team” นำโดย รมว.กระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าทีม เดิมมีกำหนดเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) วันที่ 23 เมษายน
ก่อนเดินทาง 1 วันมีเซอร์ไพรส์ทางสหรัฐฯ ขอเลื่อนวันเจรจาออกไปอย่างไม่มีกำหนดว่าจะประชุมหรือได้คิววันใด การเลื่อนการเจรจาของสหรัฐฯ อาจบอกเป็นนัยได้ว่าไทยไม่ได้เป็นประเทศระดับต้นๆ ที่สหรัฐฯ ต้องการเจรจา กรณีดังกล่าวประเด็นที่นำมาวิเคราะห์
ทางบวก ขณะนี้มีประเทศต่างๆ รอเจรจาคิวยาวและไม่สามารถหาข้อสรุปเนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้าอัตราสูงอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักแต่มีนัยซ่อนเร้นที่สหรัฐฯ ต้องการต่อรองผลประโยชน์ด้านอื่นๆ ประเทศไทยในสายตาของปธน.ทรัมป์อาจไม่ใช่คู่ค้าหลักส่งออกเกินดุล สหรัฐฯ ต้องการเจรจากับประเทศซึ่งขาดดุลการค้าหลักและมีผลประโยชน์ด้านอื่นที่ต้องการแลกเปลี่ยนให้จบดีลก่อน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม อินเดีย ฯลฯ
ทั้งนี้หากประเทศไทยสามารถตกลงได้อาจอยู่ในกลุ่มที่สหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราภาษีอัตราร้อยละ 10 ซึ่งเรียกเก็บไปแล้ว ด้านการแข่งขันคงต้องดูว่าประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซียจะถูกเรียกเก็บภาษีเท่าใด
ทางลบ อาจเป็นไปได้ว่าข้อเสนอของไทยที่เตรียมไปเจรจาแลกเปลี่ยนอาจน้อย เช่น สินค้าเกษตรบางประเภท เร่งซื้อฝูงบินโบอิ้ง การนำเข้าแก๊สธรรมชาติและอีเทน ทราบว่ามี “Request”กลับมาให้ไทยทบทวนเงื่อนไขและข้อเสนอเพิ่มเติมดังเช่นที่ทำกับหลายประเทศ
ประเด็นที่สหรัฐฯ กังวลคือการสวมสิทธิ์สินค้าจีนเพื่อส่งเข้าสหรัฐฯ เช่น แผงโซล่าเซลล์ที่ปรับขึ้นภาษี 375% ข้อกังวลของสหรัฐฯ คือกล่าวหาว่าไทยเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนทำให้เงินบาทอ่อนค่าเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น
ส่วนข้อกังวลของภาคเอกชนต่อวิกฤตสงครามการค้าของสหรัฐฯ มีดังนี้
1. ผลกระทบจะชัดเจนในครึ่งปีหลัง เนื่องจากสหรัฐฯ ขยายระยะเวลาในการเรียกเก็บภาษีกับประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยออกไปจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 อย่างไรก็ดีภาษีตอบโต้การค้าในอัตราที่สูงมีผลกระทบต่อดีมานด์ความต้องการสินค้าจากการที่ราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ สูงทำให้การจับจ่ายสินค้าลดลงกระทบต่อการส่งออกซึ่งเชื่อมโยงไปกับทุกประเทศที่เป็นคู่ค้าไทย เช่น จีน อาเซียน อียู และญี่ปุ่น
2. การส่งออกจะได้รับผลกระทบช่วงเดือนมิถุนายน ขึ้นอยู่กับผลเจรจาของทีมไทยแลนด์ เนื่องจากการส่งออกสินค้าส่วนใหญ่มีการเจรจาต่อรองซื้อขายล่วงหน้าบางรายเป็นไตรมาส เมื่อมีความไม่แน่นอนจากอัตราภาษีนำเข้าทำให้ผู้นำเข้าชะลอคำสั่งซื้อทำให้ผู้ส่งออกต้องแบกรับสินค้าคงคลังหรือสต็อกสูงกระทบต่อสภาพคล่องธุรกิจ
3. ผู้นำเข้าสหรัฐฯ เริ่มเจรจาให้ผู้ส่งออกไทยลดราคาเพื่อชดเชยภาษีที่ปรับสูง ทำให้ผู้ส่งออกโดยเฉพาะที่เป็น “OEM” รับจ้างการผลิตและไม่มีแบรนด์มีปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจด้านการต่อรองต่ำต้องยอมขายในราคาต่ำกว่าทุนซึ่งระยะยาวกระทบต่อสภาพคล่องและ NPL
4. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ ภาคการส่งออกเชื่อมโยงโซ่อุปทานทั้งภาคอุตสาหกรรม บริการและบริการที่สนับสนุนการส่งออกตลอดจนภาคเกษตรกรรมและประมง-ปศุสัตว์ ผลกระทบภาคส่งออกทั้งด้านยอดขายที่ลดลงตลอดจนสภาพคล่องจะกระทบเป็นลูกโซ่จะกระทบไปในทุกภาคส่วน
จากการประเมินพบว่าผู้ส่งออกที่มีการส่งสินค้าไปสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยอาจมีสัดส่วนอยู่ในรายได้ประมาณร้อยละ 30.8 หากการเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้อาจกระทบยอดขายและหรือปริมาณตู้สินค้าลดลงประมาณร้อยละ 35.3 กระทบไปถึงการบริโภคและการลงทุนที่จะหดตัวอย่างรุนแรง
5. ความเสี่ยงด้านแรงงาน ผลกระทบหากกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจผลที่ตามมาคือกำลังการผลิตอุตสาหกรรม (CPU) ที่ทำให้ชั่วโมงการทำงานลดลงส่งผลต่อการจ้างงานลดลงทั้งภาคการผลิตและบริการ กรณีเลวร้ายสุดอาจมีการเลิกจ้างคล้ายช่วงวิกฤตโควิด-19
6. สภาพคล่องและหนี้ครัวเรือน-หนี้สาธารณะพุ่งสูง โดยใช้สมุมติฐานอัตราภาษีร้อยละ 36 จะส่งผลต่อสภาพคล่องธุรกิจทั้งระบบตามด้วยสภาพคล่องครัวเรือนซึ่งปัจจุบันหนี้เสียหรือ NPL รอปรับโครงสร้างหนี้ประมาณ 1.12 ล้านล้านบาท เศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรงจะทำให้ NPL พุ่งสูงรัฐบาลต้องใช้จ่ายงบประมาณเยียวยาเศรษฐกิจทำให้หนี้สาธารณะสูงอาจเกินกว่าร้อยละ 70 (ช่วงวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลเสริมสภาพคล่อง 5 แสนล้านบาท)
ส่วนมาตรการในการเยียวยาเศรษฐกิจเสนอว่า
1. ทบทวนแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อกันเม็ดเงินให้เพียงพอต่อการเยียวยาทางเศรษฐกิจ โดยจะต้องมีการประเมินผลกระทบโดยใช้จำลองสภาวการณ์เลวร้ายสุด “Worst Case Scenario” ว่าการเจรจาล้มเหลวสหรัฐฯ ยังคงปรับภาษีร้อยละ 36 โดยนำมาประเมินว่าจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใดเพื่อที่จะได้วางมาตรการรองรับล่วงหน้า
2 . มาตรการเสริมสภาพคล่องธุรกิจและครัวเรือน จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องใช้มาตรการทางการเงินเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจเพื่อรักษาการจ้างงาน ตลอดจนเสริมสภาพคล่องให้กับครัวเรือนเพื่อให้มีการจับจ่ายใช้สอยเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศเพื่อทดแทนการส่งออก จำเป็นที่จะต้องเร่งปรับโครงสร้างหนี้ประมาณ 1.12 ล้านล้านบาทที่ยังค้างมาแต่วิกฤตโควิด -19 เนื่องจากหากยังติดเครดิตบูโรการเสริมสภาพคล่องผ่านธนาคารพาณิชย์จะทำไม่ได้
3. ออกมาตรการรักษาการจ้างงาน ผลกระทบจากการส่งออกซึ่งจะเป็นสึนามิไปในภาคส่วนของเศรษฐกิจมีผลต่อการจ้างงาน จำเป็นที่จะต้องออกมาตรการที่จำเป็นให้สถานประกอบการสามารถรักษาการจ้างงานไม่ให้มีการเลิกจ้างหรือมีก็น้อยที่สุด
4. รัฐบาลเตรียมการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกระตุ้นการบริโภคการลงทุนในประเทศและการออกซอฟต์โลนให้แบงค์ของรัฐปล่อยสินเชื่อควรทบทวนงบประมาณปีพ.ศ. 2568 หากไม่จำเป็นควรกันเงินไว้เพื่อการเยียวยาเศรษฐกิจโดยไม่ควรเป็นประชานิยม
5. ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเป็นวิกฤตเศรษฐกิจยังไม่แน่นอนและโอกาสต่ำ เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นประเทศหลักที่สหรัฐฯ จะเล่นงาน อีกทั้งการขึ้นภาษีอัตราสูงส่งผลกระทบต่อประชาชนสหรัฐฯ อาจทำให้ปธน.ทรัมป์ถอยรวมถึงการยุติสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีนจะเป็นปัจจัยสำคัญ