คอนเฟิร์ม "ทรัมป์" เอาจริง เปิดสูตรฟาดภาษีจีนพุ่ง 245% คิดจากอะไร?

17 เม.ย. 2568 | 08:07 น.
อัปเดตล่าสุด :17 เม.ย. 2568 | 08:08 น.

เปิดสูตร สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนสูงถึง 245% ทรัมป์ลุยตอบโต้ศึกแร่หายาก เบื้องหลังสงครามเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่เดิมพันด้วยความมั่นคงของประเทศ

ไม่ใช่ตัวเลขหลุด หรือพิมพ์ผิดอย่างที่หลายคนสงสัย รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันชัดเจนแล้วว่า ภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากจีนถูกปรับขึ้นสูงสุดถึง 245% จริง และเป็นตัวเลขที่มีที่มาที่ไป

 

ภาษี 245% คิดจากอะไร?

จากแถลงการณ์ของทำเนียบขาว สหรัฐฯ ไม่ได้ตั้งภาษี 245% ในรายการเดียว แต่เป็นการ รวมหลายมาตรการภาษีที่ซ้อนทับกัน จนกลายเป็นตัวเลขสูงลิ่ว โดยเฉพาะกับสินค้าจีนบางประเภท ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ทั้งนี้ มาตรการที่นำมารวมกันมีดังนี้:

  • ภาษีฐาน 10% ที่ใช้กับสินค้านำเข้าทั้งหมดเป็นพื้นฐาน
  • ภาษีตอบโต้ 125% ที่ใช้เพื่อตอบกลับจีน หลังจากที่จีนตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าสหรัฐในระดับเดียวกัน
  • ภาษีพิเศษ 20% ที่เชื่อมโยงกับบทบาทของจีนในปัญหาการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล
  • ภาษีภายใต้กฎหมาย Trade Act มาตรา 301 ซึ่งกำหนดไว้ระหว่าง 7.5% ถึง 100% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและพฤติกรรมทางการค้าที่สหรัฐมองว่าไม่เป็นธรรม

ดังนั้น ในกรณีของสินค้าบางรายการ หากสหรัฐฯ นำภาษีจากแต่ละหมวดที่เกี่ยวข้องมารวมกัน เช่น 125% (ภาษีตอบโต้) + 20% (เฟนทานิล) + 100% (ภาษีตาม Section 301) = 245%

นั่นคือที่มาของตัวเลข 245% ซึ่ง ไม่ใช่ภาษีเดียว แต่เป็นผลรวมจากมาตรการหลายทางที่ซ้อนทับกันกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับแร่หายากหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติและสงครามการค้า หรือในบางกรณี อาจบวกจาก 125% + 20% + 10% (ฐาน) + 90% (Section 301) = 245% เช่นกัน

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการตอบโต้กันระหว่างสหรัฐและจีนในเวทีการค้าระหว่างประเทศ โดยจีนเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย ตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีของตัวเองสูงถึง 125% พร้อมทั้งออกข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากชนิดต่างๆ ไปยังสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการระงับการส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก 6 ชนิดในเดือนนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การบิน และกลาโหมของอเมริกา

ภาษี 245% นี้ยังเชื่อมโยงกับคำสั่งบริหารล่าสุดของทรัมป์ เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดการสอบสวนว่า การพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบหายากจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ก่อให้เกิด “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” หรือไม่ หากผลการสอบสวนชี้ว่าเป็นภัยจริง สหรัฐอาจใช้อำนาจภายใต้ Section 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 เพื่อกำหนดภาษีเพิ่มเติมหรือออกมาตรการอื่นๆ ได้อีก

แร่หายากไม่ใช่เพียงแค่สินค้าทั่วไป แต่คือ “หัวใจ” ของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนของ F-35 ระบบนำวิถีขีปนาวุธ เรดาร์ โทรคมนาคมขั้นสูง ไปจนถึงอุปกรณ์ MRI ที่ใช้ในโรงพยาบาล โดยปัจจุบัน สหรัฐมีเหมืองแร่หายากที่เปิดดำเนินการเพียงแห่งเดียว และต้องพึ่งพาจีนถึง 70% สำหรับการนำเข้าแร่หายากในรูปแบบที่ผ่านกระบวนการแล้ว

ที่สำคัญ จีนมีส่วนแบ่งตลาดโลกในด้านการแปรรูปแร่หายากสูงถึง 92% กลายเป็นผู้ควบคุมห่วงโซ่อุปทานเกือบเบ็ดเสร็จ ทำให้สหรัฐวิตกว่านี่อาจกลายเป็น “อาวุธทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่จีนสามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองหรือกดดันในยามวิกฤต

ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงจุดยืนและย้ำว่า “จีนต้องมาทำข้อตกลงกับเรา ไม่ใช่เราที่ต้องไปขอเจรจา” ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมาตอบโต้ว่า สหรัฐเป็นฝ่ายเริ่มสงครามการค้าก่อน และการตอบโต้ของจีนเป็นการปกป้องสิทธิที่ชอบธรรม พร้อมกล่าวหาสหรัฐว่า “กดดัน ข่มขู่ และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม”

ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลสหรัฐก็เริ่มเร่งเดินหน้าโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากภายในประเทศอย่างเร่งด่วน บริษัทเอกชนต่างประกาศลงทุนขยายกำลังผลิต พร้อมจับมือกับพันธมิตรอย่างออสเตรเลียและแคนาดา หวังสร้างระบบผลิตแร่หายากแบบครบวงจร (mine-to-magnet) ภายในปี 2027 ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ลงทุนไปแล้วกว่า 439 ล้านดอลลาร์ เพื่อฟื้นฟูห่วงโซ่อุปทานนี้

รายละเอียดเอกสารทำเนียบขาวฉบับเต็มขึ้นภาษีจีน 245%