ภาษีทรัมป์ป่วน! เอกชนชะลอลงทุน แนะไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

24 เม.ย. 2568 | 04:15 น.
อัปเดตล่าสุด :24 เม.ย. 2568 | 04:18 น.

เอกชนป่วน ภาษีทรัมป์กระทบความเชื่อมั่น เบรกการลงทุน “วิศิษฐ์” แนะไม่สต็อกสินค้า “ฉัตรชัย” ย้ำถึงเวลาไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดพึ่งพาภาคเกษตร อุตสาหกรรม หันหาภาคบริการ

การประกาศเลื่อนปรับขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal tariffs) ออกไป 90 วันของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ยังเก็บภาษีชั้นต่ำทุกประเทศเพิ่ม 10% (Universal tariffs) โดยสหรัฐฯ จะให้เวลาประเทศต่างๆ 90 วัน เพื่อเจรจาต่อรองให้อัตราภาษีนี้ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศไทยเพิ่มขึ้น 36% ย่อมส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะต่อความเชื่อมั่น และความไม่แน่นอน นำมาซึ่งการชะลอการลงทุนเพื่อรอดูท่าที

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยต่อ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มีสัญญาณเริ่มตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมารับตำแหน่ง ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ หลายรายเร่งเรียกสินค้านำเข้าให้เร็วขึ้น และได้เพิ่มจำนวนมากกว่าปกติเพื่อเตรียมรับมือ หรืออีกนัยหนึ่งคือการตุนสินค้าให้ได้มากที่สุด

ทำให้ตัวเลขการส่งออกของไทยใน 3 เดือนแรก หรือไตรมาส 1 เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากหลายประเทศทั่วโลกพร้อมกัน ทำให้การนำเข้าสินค้าถูกชะลอทั้งหมดยกเว้นสินค้าที่อยู่บนเรือขนส่งแล้ว ซึ่งการขนส่งสินค้าบางรายหรือสินค้าบางประเภทก็ต้องเร่งเจรจา จนเมื่อมีประกาศขยายเวลาเก็บภาษีออกไปอีก 90 วัน สถานการณ์ก็ยังไม่มีความแน่นอน เพราะถึงอย่างไรก็จะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% อยู่แล้ว

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา

ดังนั้น การนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ ในตอนนี้จึงเริ่มชะลอตัว ผู้ส่งออกในประเทศไทยเริ่มไม่ผลิตสินค้าล่วงหน้า แต่ผลิตตามออเดอร์เท่านั้น ในไตรมาส 2 อาจส่งผลกระทบทำให้การส่งออกลดลงแม้จะยังส่งสินค้าไปได้ตามปกติภายใน 90 วัน โดยจะต้องรอผลการเจรจาของรัฐบาลหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าทิศทางจะเป็นอย่างไรต่อไป

“ขณะนี้ผู้ประกอบการไทยหลายรายกำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยไม่ผลิตสินค้าสต๊อกไว้ หากผลิตสินค้าสำรองก็เพื่อสำรองในตลาดอื่นที่ไม่ใช่ตลาดสหรัฐฯ เพราะไม่แน่ว่าในไตรมาส 3-4 กำแพงภาษีจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร แม้เชื่อว่าการนำเข้าไปยังสหรัฐจะยังมีต่อเนื่องเพราะผู้บริโภคก็จำเป็นต้องใช้สินค้าในหลายประเภท แต่ก็คงจะนำเข้าเท่าที่จำเป็นและต้องดูความเคลื่อนไหวของนโยบายต่างๆ ด้วย“

จากการประเมินในฐานะผู้ประกอบการ เบื้องต้น การเจรจาของสหรัฐอเมริกากับจีนคงไม่สามารถจบลงได้ภายใน 90 วัน เพราะกำแพงภาษีสูงทะลุเกิน 100% จนอาจเรียกได้ว่าค้าขายกันไม่ได้แล้ว ส่งผลให้ประเทศอื่นที่ผลิตสินค้าไปยังสหรัฐฯได้รับผลกระทบตามไปด้วย และในระยะยาวจะเกิดความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากเกี่ยวกับ Value Chain และ Supply Chain ด้านฐานการผลิตจะถูกปรับเปลี่ยนและโยกย้ายแม้ยังประเมินไม่ได้มากนักว่าจะมีสินค้าประเภทไหนบ้าง แน่นอนว่าเรื่องสำคัญจะต้องขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดสินค้า

ภาษีทรัมป์ป่วน! เอกชนชะลอลงทุน แนะไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ส่วนประเทศไทยจะต้องตรวจสอบสินค้าส่งออกให้ดี ทั้งแหล่งที่มา การสวมสิทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สหรัฐฯกำลังจับตามอง และส่งผลกับการปรับเปลี่ยนหรือย้ายตลาดได้ในอนาคต โดยต้องเตรียมพร้อมเพราะสถานการณ์ที่จะแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งแนวโน้มของสงครามการค้าคาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และการเจรจายังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ส่งผลต่อระบบการค้าโลกที่จะชะลอตัวลงทั้งหมด ระดับรายได้ของประชากรโลกจะลดลงทั้งหมด กระทบต่อสินค้าที่ประเทศไทยส่งไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯด้วย การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็จะยิ่งลดลง

ด้านดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก (FARPA) กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การเลื่อนจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไปนั้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อไทย ทำให้ภาคการลงทุนต่างชะลอการลงทุนยาวต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

ทำให้ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ได้ยาก โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือภาคการเกษตร รองลงมาคือ ภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคค้าปลีก ถือว่าได้รับผลกระทบน้อย และเป็นปลายน้ำ หากนับตามซัพพลายเชน จะกระทบหลังสุดจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง

ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์

ดังนั้นไทยควรใช้โอกาสนี้ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาภาคเกษตรและอุตสาหกรรมให้น้อยลง และหันใช้จุดแข็ง เช่น การลดภาคเกษตรที่เน้นผลิตมากแต่ทำรายได้ต่ำ หันไปเน้นการผลิตสินค้าเกษตรที่ผลิตน้อยแต่ทำรายได้สูง รวมทั้งเน้นภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยี มีโปรดักทิวิตี้ ขณะเดียวกันก็เพิ่มด้านธุรกิจบริการ เช่น ท่องเที่ยว ร้านอาหาร Soft Power, Hospitality, Retail, Entertain ฯลฯ ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยที่เหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะที่นักวิชาการด้านการตลาด กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของสหรัฐฯ ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะเล่นงานไทยโดยตรง แต่เป็นการส่งสัญญาณไปยังจีน และ “ป้องปราม” ไทยไม่ให้เป็นฐานการสวมสิทธิ์สินค้าจีนเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ มองว่าไทยและประเทศในกลุ่ม CLMVT (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) เป็นแหล่ง “รีเอ็กซ์ปอร์ต” สินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ ดังนั้น การขึ้นภาษีจึงเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้ไทยระมัดระวังการสวมสิทธิ์สินค้าจีน และป้องกันไม่ให้สินค้าจีนทะลักเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ผ่านไทย

อย่างไรก็ดีการตัดสินใจของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยใน 2 ทิศทาง ได้แก่

1. ผลกระทบเชิงลบ ความกังวลนักลงทุน บรรยากาศความไม่แน่นอนทางการค้าอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอแผนการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ที่เล็งเห็นไทยเป็นฐานส่งออกไปยังสหรัฐฯ สินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง

2. ผลกระทบเชิงบวก โอกาสสินค้าเกษตร ในทางกลับกัน สินค้าเกษตรบางประเภทของไทยอาจได้รับอานิสงส์จากการเปิดตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น หากสหรัฐฯ ต้องการหาแหล่งทดแทนสินค้าจากจีน หรือต้องการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศพันธมิตร

“การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เป็นสัญญาณเตือนให้ประเทศไทยต้องตระหนักถึงพลวัตของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ และเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น การดำเนินนโยบายที่รอบคอบและมีวิสัยทัศน์ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดผลกระทบด้านลบ และคว้าโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าวได้”

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,090 วันที่ 24 - 26 เมษายน พ.ศ. 2568