นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) เปิดเผยว่า กรณีรัฐบาลไทย เลื่อนการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อเจรจาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากเดิมที่กำหนดนัดหารือร่วมกันในวันที่ 23 เม.ย. 68
โดยนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ออกมาให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาทุกกระทรวงฯ ได้หารือถึงการเตรียมตัวรับมือถึงประเด็นการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ โดยได้ติดต่อกับทีมล่วงหน้าไปแล้ว และได้รับการแจ้งกลับมาว่า มีข้อเสนอบางประเด็นของสหรัฐฯ ที่อยากให้ไทยกลับมาทบทวนนั้น
จากการออกแถลงการล่าสุดของนายกฯ ยังไม่ได้ระบุถึงกรอบระยะเวลาในการเข้าไปเจรจากับทางสหรัฐฯ ที่ชัดเจน ทำให้ตลาดหุ้นไทยในระยะนี้อาจแกว่งตัวในกรอบจำกัด เพราะยังคงมีความกังวลต่อการขึ้นภาษีของสหรัฐฯในครั้งนี้อยู่มา และยังต้องรอดูความชัดเจนต่อไป
ส่วนตัวมองว่าเรื่องการเจรจากับทางสหรัฐฯ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรดำเนินการให้เร็ว เพราะยิ่งช้าความกังวลยิ่งมีมากขึ้น กรอบระยะเวลาที่เหลืออีกราว 60-70 วัน แม้จะเป็นเวลาที่ให้รัฐบาลไทยกลับมาทบทวนข้อต่อรองในครั้งนี้ใหม่อีกครั้ง แต่การที่ไทม์ไลน์ไม่ชัดเจนก็เหมือนเลี้ยงไข้เศรษฐกิจและการลงทุนไทยต่อไปเรื่อยๆ ไม่เป็นผลดี
ทั้งนี้ จากการประมาณการ GDP ประเทศไทยในปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 1-2% หลังจากที่ไทยถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากการสหรัฐฯ สูงถึง 36% จากเดิมที่คาด GDP ไว้ที่เฉลี่ย 2.5-3% หรือลดลงมากว่า 1% โดยหากว่าผลของการเจรจาเป็นไปในทิศทางที่ดี ตัวเลข GDP ปีนี้อาจอยู่ที่กรอบบน 2% กว่าๆ
ในทางกลับกัน หากว่าการเจรจาต่อรองของรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ไม่เป็นผลสำเร็จ ก็คาดว่า GDP ปีนี้จะปรับตัวลดลงมาที่กรอบล่างคือ 1% กว่าๆ แต่อย่างไรก็ดี ก็ต้องรอดูว่าเงื่อนไขในการเจรจาครั้งนี้จะมีสินค้าประเภทใดบ้างที่ได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ รวมถึงผลกระทบกับประเทศจีนร่วมด้วย
"ไทยเราทำการค้าค้ากับทั้งประเทศจีนและสหรัฐฯ เราพึ่งพิงกับทั้ง 2 ตลาดค่อนข้างมาก ดังนั้นเงื่อนไขที่เสนอต่อสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ก็ต้องดูว่าจะมีผลกระทบต่อจีนร่วมด้วยหรือไม่ ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยแกว่งแคบๆ แดนลบ เพราะยังรอความชัดเจน เห็นได้ว่าช่วงที่สหรัฐฯ เลื่อนกำหนดภาษี 90 วัน ตลาดหุ้นไทยตอบรับไปมาก สะท้อนว่าเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจและยังเป็นกังวลอยู่มาก"
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างรอความชัดเจนของการเจรจากับทางสหรัฐฯ คาดกรอบดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1120-1160 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนในหุ้น 40% และถือเงินสด 60% โดยหุ้นที่น่าสนใจอาทิ CPF BTG BDMS MTC GPSC และ MONO เป็นต้น