วันนี้ (22 เมษายน 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงประเด็นการเลื่อนการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อเจรจาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับรัฐบาลสหรัฐฯ ว่า คณะทำงานได้เห็นว่าควรขยับเวลาการเดินทางไปเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อจะได้หารือเพิ่มเติมและทบทวนแผนการไปเจรจาให้เกิดความชัดเจนมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่
“แม้ว่าจะผ่านมาเกิน 10 วัน แต่มีเพียงประเทศเดียวที่ได้เจรจากับสหรัฐ ส่วนบางประเทศก็ส่งข้อมูลไปว่าจะทำอะไรบ้าง ซึ่งเมื่อดูสถานการณ์แล้ว สหรัฐฯ ยังมีกรอบการคุยประเทศกับที่มีการค้าที่ใหญ่กว่าไทยอีก 10 กว่าแห่ง ดังนั้นไทยจึงต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงก่อน ถึงจะมีความเหมาะสมมากที่สุด” นายพิชัย ระบุ
นายพิชัย ยอมรับว่า แม้กำหนดการเดินทางเยือนสหรัฐฯ จะเลื่อนออกไป แต่ทีมทำงานยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนแรก คือ ทีมต่างประเทศที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ถือเป็นทีมส่วนหน้า เพื่อติดตามข้อมูลต่าง ๆ ก่อนนำมาใช้ในการเจรจาในระดับสูงต่อไป
อีกส่วนคือทีมในประเทศ ซึ่งจะพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้า เพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ทั้งการเตรียมการช่วยเหลือ ฟื้นฟูและปฏิรูป
สำหรับส่วนแรกคือการช่วยเหลือนั้น จะนัดหารือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ หากเกิดกรณีที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ จนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ และเตรียมพร้อมออกมาตรการต่าง ๆ มารองรับ
ส่วนการฟื้นฟูและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สหรัฐฯ รัฐบาลจะหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อประเมินผลกระทบและหามาตรการออกมาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบต่อไป โดยตอนนี้กำลังติดตามสถานการณ์ว่า จะหาทางฟื้นฟูอย่างไร ขณะที่การปฏิรูป รัฐบาลจะพิจารณาแนวทางการเจรจากับสหรัฐฯ ทั้ง 5 เรื่องสำคัญ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูป ทั้งด้านอัตราภาษีนำเข้า หรือถิ่นกำเนิดของสินค้า
“ในกรณีที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็ได้หารือกับสศช.แล้ว เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรก ยังพอไปได้อยู่ แต่ไตรมาสที่ 2 ก็ต้องมาดูอีกว่า ถ้าไม่ดีเลย ก็ต้องหามาตรการมาดูแล โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่จะกระทบกับภาคการผลิต และการจ้างงาน ซึ่งสศช.ต้องนำโจทย์ไปคิดต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร” รองนายกฯ ระบุ
รองนายกฯ ยอมรับว่า ขณะนี้ รัฐบาลมั่นใจว่าได้กำหนดท่าทีที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและสหรัฐฯ ในลักษณะ วิน-วิน จึงต้องใช้เวลา และโอกาสที่เหมาะสมในการตัดสินใจ เพื่อจะได้เดินทางไปเจรจาถูกต้องและถูกต้องตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งระยะเวลาในการเดินทางยังเหลือเวลาอีก 70 วันในการพิจารณาช่วยเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง
“เราต้องดูสถานการณ์ว่าในช่วงจังหวะนี้เป็นอย่างไร และเมื่อไปแล้วเขาจะมีข้อเสนออะไรเพิ่มอีกที่เขาเห็นว่าจำเป็นเราก็ต้องติดตาม เช่น ตลาดเงินที่เกิดผลกระทบแล้ว ก็ต้องเอาผลมาพิจารณาเพิ่มเติมด้วย โดยส่วนตัวเห็นว่า ต้องดูก่อนเพราะไม่อยากไปเจออะไรที่คาดไม่ถึงโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้” รองนายกฯ กล่าว
ส่วนกรณีการพิจารณาเรื่องการกู้เงินหรือขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มเติมเพื่อรองรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่นั้น รองนายกฯ กล่าวว่า การพิจารณาเพดานหนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องคิด แต่ตอนนี้ยังไม่มีโจทย์ที่ชัดเจน จึงต้องขอประเมินสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนว่า จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วถ้าทำแล้วจะเกิดผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การลงทุน และการจ้างงานด้วยหรือไม่