KEY
POINTS
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การขยับราคาสินค้าส่งออกเป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องเผชิญเหมือนกัน แต่หากค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าคู่แข่งและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จะส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะอาจทำให้ตลาดส่งออกไหลไปยังประเทศที่สามารถลดราคา หรือยืนราคาได้ต่ำกว่า
โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคือผู้ส่งออกและเกษตรกรที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะข้าว ซึ่งมีการแข่งขันสูงมากในตลาดโลก โดยปีนี้ไทยต้องเผชิญการแข่งขันจากอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ที่มีผลผลิตข้าวดีและเสนอราคาที่แข่งขันได้มาก หากค่าเงินของประเทศคู่แข่งอ่อนค่ากว่าเงินบาท ไทยจะเสียเปรียบทันทีและมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียตลาด
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับการส่งออกในปีนี้ ออเดอร์ส่งออกสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ได้ส่งมอบไปแล้ว เหลือเพียงรอรับเงิน ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่ผู้ประกอบการได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้หรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำสัญญาฟอร์เวิร์ด ทำให้มีความเสี่ยงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างแท้จริง เนื่องจากช่วงที่เสนอราคาขาย ค่าเงินบาทอยู่ในระดับอ่อนกว่า ก่อนจะทยอยแข็งค่าจากระดับราว 36 บาทต่อดอลลาร์ ลงมาถึง 33 บาทต่อดอลลาร์
แม้ตามหลักแล้ว เมื่อค่าเงินบาทแข็ง ผู้ส่งออกควรปรับขึ้นราคาขาย แต่ในสภาพตลาดปีนี้ การขึ้นราคาแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะกำลังซื้อทั่วโลกชะลอตัว หากปรับราคาเมื่อใดก็มีโอกาสเสียตลาดทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องยืนราคาขายเดิมมาโดยตลอด และแบกรับผลขาดทุนจากค่าเงินที่แข็งขึ้น
ทั้งนี้ในช่วง 4 ปีครึ่งที่ผ่านมา การแข็งค่าของเงินบาทในระยะแรกมาจากปัจจัยพื้นฐานของไทย เช่น เศรษฐกิจที่เติบโตดี การส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดแข็งแกร่งและความต้องการเงินบาทสูงขึ้น ซึ่งเป็นการแข็งค่าตามธรรมชาติ แต่ในปีนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจหลายด้านไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิม แม้การส่งออกยังเป็นบวก แต่เริ่มชะลอลง และสินค้าที่ขยายตัวได้ดีส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งวัตถุดิบจำนวนมากต้องนำเข้า ทำให้ประโยชน์ที่เกิดกับผู้ผลิตในประเทศมีจำกัด
โดยผลกระทบที่ชัดเจนจึงตกอยู่กับผู้ผลิตที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรและอาหาร ขณะที่ในช่วงปลายปี ตัวเลขส่งออกอาจไม่ถูกกระทบมากนักในเชิงปริมาณ แต่รายได้เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะลดลง และมีโอกาสเกิดการขาดทุน
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มปีหน้า ประเมินว่าสินค้าหลัก โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรและอาหาร น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และไม่น่าจะแย่กว่าปีนี้ โดยตั้งเป้าการเติบโตขั้นต่ำไว้ที่ราว 5% เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ หลังจากปีนี้ยอดส่งออกหดตัวราว 7–8%
ขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีความต้องการสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังมีแนวโน้มเติบโตดี เนื่องจากหลายประเทศต้องการเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต