นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวเสวนาหัวข้อ ผ่ากำแพงภาษี "ทรัมป์" ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ : Out of The Trump's Uncertainty จัดโดยเครือเนชั่น ว่า สศค.จะแถลงข่าวปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2568 วันที่ 28 เม.ย.นี้
ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีความท้าทายในการคาดการณ์ จากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น และรวมถึงกรณีนโยบายภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐด้วย ซึ่งช่วงนี้ยังอยู่ระหว่างฝุ่นตลบ
หากถามว่านโยบายทรัมป์มีผลกระทบอย่างไรนั้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์แผ่นดินไหวไทยที่ระดับ 7 ริกเตอร์ แต่สถานการณ์นี้น่าจะ 10 พลัส มองว่าทั้งโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หากถามว่าระบบทุนนิยมจะเปลี่ยนหรือไม่ มองว่าระบบทุนนิยมจะเปลี่ยนเป็นความนิยมมากขึ้น
สำหรับนโยบายของทรัมป์นั้น เนื่องจากเขาอยากให้ประเทศมีความดมดุล มีความนิยม และอำนาจบารมีมากขึ้น โดยขณะนี้เริ่มสะท้อนให้เห็น เนื่องจากมีมากกว่า 10 ประเทศ ที่ต้องการเข้าทำเนียบขาวเพื่อหารือกับเขา และตอนที่เขาหาเสียง ก็บอกว่าจะเอาแคนนาดาเป็นรัฐที่ 51 และเอาช่องแคบปานามา โดยเป็นการพยายามรวมศูนย์อำนาจไว้ที่สหรัฐฯ
สำหรับสาเหตุที่ทรัมป์จะต้องขึ้นกำแพงภาษีมี 3 ข้อ ได้แก่ 1. เขาคิดว่าถูกเอาเปรียบ เพราะสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามูลค่าสูง โดยในอดีตสหรัฐขาดดุลวันละ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ และปัจจุบันขาดดุลกว่าวันละ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นที่มาที่จะต้องทำให้ดุลการค้าสมดุล
2. เขาต้องหารายได้เข้าประเทศ เพราะขณะนี้สหรัฐฯ เป็นหนี้สาธารณะสูง 36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 120% ของจีดีพี เพื่อหารายได้เข้ามา และ 3. เรียกบริษัทต่างๆ ที่อยู่ต่างประเทศกลับมายานแม่ เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาเสียภาษีในสหรัฐฯ และซัพพลายเชนต่างๆ ย้อนกลับไปสหรัฐฯ
ทั้งนี้ จากนโยบายทรัมป์นั้น มีเรื่องที่อยากจะฝากไว้ 5 เรื่อง ได้แก่
1. จะต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ ว่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (great depression1) หรือไม่ ขณะที่ประเทศไทยก็ต้องระวังภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession) ซึ่งหากเศรษฐกิจตกท้องช้างในช่วงไตรมาส 2 และต่อเนื่องในไตรมาส 3 จะเป็นโจทย์ที่จะต้องดูแล ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม
2. ไทยต้องเร่งเข้าแถวเพื่อเจรจากับสหรัฐ โดยสิ่งที่ไทยจะต้องทำ คือ Win-Win โซลูชัน โดยจะใช้ยุทธศาสตร์ 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1. ทำให้สหรัฐผ่อนคลาย 2.กวาดบ้านให้เรียบร้อย ด้วยการพิจารณาทบทวนภาษีบางรายการสินค้าลดลงมา เช่น เนื้อสัตว์ 3. เขี่ยผมที่เข้าตา ด้วยการอำนวยความสะดวกการให้ค้าขายระหว่างกัน 4. ดูแหล่งกำเนิดสินค้า และ 5. ไปลงทุนในบ้านเขาด้วย
3. ต้องปรับตัวผลักดันค้าขายกับสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ต้องปรับตัวสู้กับสินค้าจีนราคาถูก ประเทศไทยจะต้องติดตามยุทธศาสตร์ที่จะไปแย่งฐานการลงทุนเข้ามา
4. ธุรกิจขนาดใหญ่อาจเอาตัวรอดได้ แต่ธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ต้องจับตาซัพพลายเชนทั้งหมดว่าจะเป็นอย่างไร โดยเอสเอ็มอีบางรายยังไม่ฟื้นจากสถานการณ์โควิด จากข้อมูลบริษัทเครดิตแห่งชาติ พบว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ธุรกิจบางแห่งยังสูง ถือเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเขา ฉะนั้น รัฐต้องมียุทธศาสตร์ในการช่วยเอสเอ็มอีต่อจากนี้ไป
5. ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น ภาคการเกษตร ยกเลิกวิธีการจ่ายเงินอุดหนุน แต่ทำให้มีความสามารถมากขึ้น มีวิธีการผลิตมากขึ้น เป็นต้น
“นโยบายของทรัมป์ แน่นอนว่า จะส่งผลต่อการชพลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสินค้าที่กระโดดเข้าไปขายในสหรัฐฯ ได้จะเป็นสินค้าที่ราคาสูงจากกำแพงภาษี ซึ่งสหรัฐจะเจอปัญหาการบริโภคชะลอสูง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำงานลำบาก ว่าจะใช้นโยบายสนับสนุนจีดีพีขึ้น หรือใช้นโยบายลดเงินเฟ้อลง มองว่าการประชุมของเฟดครั้งถัดไป ช่วงต้นเดือนพ.ค. มีแนวโน้มว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จากเดิมคาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้”