นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวเสวนาหัวข้อ ผ่ากำแพงภาษี "ทรัมป์" ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ : Out of The Trump's Uncertainty จัดโดยเครือเนชั่น ว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาสหรัฐฯ มีการส่งออกไปเกินดุลถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตามากกว่า Tariff คือ Non-Tariff Barrier หรือมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งทรัมป์ต้องการที่จะพึ่งพาตัวเองได้ เช่น รถยนต์ เหล็ก อลูมิเนียม ยา และเวชภัณฑ์ เป็นต้น และโลกต่อจากนี้ ทุนนิยมของสหรัฐ จะเป็นโลกาภิวัฒน์ ที่โลกฉีกออกเป็น 2 ด้าน คือ การพึ่งพาตัวเอง และลดการพึ่งพาจีน
“จีนกับสหรัฐ เหมือนกับแฝดสยาม ซึ่งเป็นเชื่อมกันอยู่ หากวันนี้จะต้องตัดแขน ตัดขา ตัดปอด ตัดไต ก็ตายกันทั้งคู่ เพราะการค้าเชื่อมโยงกันหมด หากจะต้องแยกให้ได้ ต้องมีการผ่าตัดครั้งใหญ่ ซึ่งสิ่งที่เผชิญวันนี้ คือ การผ่าตัดทุนนิยม สหรัฐต้องแยกกันเดินจากจีน โดยชาติที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลก คือ ขนาดเศรษฐกิจสหรัฐ แต่จีดีพีสหรัฐ โตได้ปีละ 2% แต่จีนโตได้ปีละ 4% อนาคต 10 ปี จีนอาจจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ซึ่งสหรัฐยอมไม่ได้ จึงเป็นทุนนิยมที่มีเบื้องหลังกันมา”
ส่วนอาเซียนนั้น หลายประเทศมีอัตราภาษีที่ทรัมป์ประกาศออกมาสูงมาก ซึ่งเป็นโจทย์ที่ไทยต้องติดตาม เพราะไทยก็เป็นหนึ่งในชาติอาเซียน เป็นประตูให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาเพื่อส่งไปยังสหรัฐ จึงไม่ควรดูเฉพาะตัวเลขส่งออก และตัวเลขการขาดดุลการค้า แต่สิ่งที่ไทยต้องดู คือ สินค้าที่เป็นมูลค่าเพิ่ม ไทยสามารถผลิตได้จริงเป็นอย่างไร
“สินค้าจีนผ่านเข้ามาและทะลักเข้าไปยังสหรัฐฯ สะท้อนได้จากตัวเลขส่งออกของไทย ที่ดีใจกันว่าตัวเลขส่งออกโตขึ้นกว่า 10% แต่เมื่อพิจารณาดูประสิทธิภาพการผลิตของประเทศแทบไม่โต ตัวเลขการจ้างงานก็ไม่ดี เพราะสินค้าของคนไทยไม่ได้เกิดมูลค่าจริงๆ ในประเทศ เราทำตัวเข้าสู่ระบบ ‘ส่งออกศูนย์เหรียญ’ ให้กับประเทศจีน ซึ่งดูไม่ดีในมุมมองของสหรัฐฯ”
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องรับมือมีอยู่ 3 ด้าน ด้านแรก รับมือกับจีน มี 3 ข้อที่ต้องรับมือ ได้แก่ ‘ทัวร์ศูนย์เหรียญ’ ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาแต่ไม่ได้ซื้อสินค้าไทยเลย สองคือ ‘การลงทุนศูนย์เหรียญ’ ซึ่งมีการใช้แรงงานและวัตถุดิบต่างๆ จากจีนโดยไม่ได้มีการกระจายการลงทุนเป็นเม็ดเงินเข้าประเทศเลย สามคือ ‘ส่งออกศูนย์เหรียญ’ ซึ่งทำให้ไทยเป็นแค่ทางผ่านสินค้าจีน และทำให้ขาดดุลการค้ากับจีนเป็นอย่างมาก
ด้านที่สอง คือ รับมือกับสหรัฐฯ โดยมองว่าจะต้องจับตาอยู่ 2 เรื่องสำคัญคือ เศรษฐกิจอเมริกาที่อาจชะลอ เพราะคนอเมริกาจะออมมากขึ้น นอกจากนี้อาจมีการลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะทรัมป์เองก็มองว่าดอลลาร์มีมูลค่ามากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าเงินดอลลาร์ยังคงจะเป็นสกุลเงินหลักของโลกอยู่
ด้านที่สาม คือ รับมือกับประเทศไทย แม้ว่าจะสามารถเจรจาเรื่องภาษีให้ลดจาก 36% เป็น 0% ได้ก็คงยังไม่พอ เพราะโจทย์ใหญ่ของทรัมป์คือ Non-Tariff Barrier เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือการอุดหนุนจากภาครัฐที่ทำให้สินค้าอเมริกาไม่สามารถขายได้ในประเทศไทย อีกเรื่องคือการกีดกันการลงทุนหรือภาคบริการ ที่มีข้อจำกัดกับสหรัฐ ก็จะต้องถึงเวลาที่แก้ไขกฎระเบียบให้เกิดการลงทุนมากขึ้น