วันนี้ (9 เมษายน 2568) ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยในงานสัมมนาแบบประชุมโต๊ะกลม Roundtable "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy เรื่องผ่ากำแพงภาษี “ทรัมป์” ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ: Out of The Trump's Uncertainty จัดโดยสื่อในเครือเนชั่น ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า
การถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งไทยถูกเรียกเก็บ 36% นั้นหากการเจรจาของแต่ละประเทศไม่ประสบผลสำเร็จ จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแรง ส่วนสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป หลังมีการเจรจาเกิดขึ้น อัตราภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 28% หากเจรจาแล้วผลออกมาดีและทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยลดลงเหลือ 15% ทำให้ประเทศไทยจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย หลังจากเจอขึ้นภาษีสูงถึง 36%
ทั้งนี้หากภาพนี้เกิดขึ้นจริง InnovestX ประเมินว่า จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะปรับลดลงจาก 2.5% เหลือ 1.4% ส่วนการส่งออกจะติดลบ 1% เป็นติดลบ 3% และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 3 ครั้งในปีนี้
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.9% อาจปรับลดลงมาเหลือ 0.9% ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้เพียง 2.5% จาก 3.5% ซึ่งภาพนี้น่าจะเป็นไปได้ในช่วง 2-3 เดือนนี้ โดยสถานการณ์ต่อจากนี้เชื่อว่าจะคุกรุ่นอย่างมาก และมีการเจรจากันจนฝุ่นตลบแน่นอน
"ถ้าภาพของความเสี่ยงเศรษฐกิจมีแต่เงินเฟ้อสูง นายธนาคารกลางจะทำคือน่าจะดูแลด้านเงินเฟ้อก่อน ถ้าแบงก์ชาติ สามารถลดได้ 3 ครั้ง ก็เชื่อว่า น่าจะช่วยได้บ้าง เช่นเดียวกับจีนที่ส่งสัญญาณจะลดค่าเงินหยวนเพื่อช่วยเศรษฐกิจหากสัญญาณสงครามการค้ารุนแรงขึ้น" ดร.ปิยศักดิ์ ระบุ
ดร.ปิยศักดิ์ กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้จะค่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะไตรมาสที่ 3 - 4 จีดีพีอาจจะขยายตัวอยู่ประมาณ 0.2-0.4% ส่วนการส่งออกจะวิ่งเข้าสู่ 0% และติดลบในช่วงไตรมาสสุดท้ายเกือบ 10% ส่งผลมายังการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งประเมินว่าไตรมาส 4 ปีนี้ตัวเลขเศรษฐกิจอาจจะไม่สวยนัก และจะลากยาวไปถึงปี 2569 ด้วย
สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จะอยู่ในกลุ่มของคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล สินค้าเกษตร ยางพารา และอัญมณี ส่วนประเด็นที่จะช่วยรองรับผลกระทบนั้น เชื่อว่า การเจรจากับสหรัฐฯ คงคาดหวังได้ยาก แม้ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องทำ แต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำตอนนี้คือการเร่งการเจรจา FTA ไทย-ยุโรป ให้จบโดยเร็วภายในปลายปีนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพื่อกระจายตลาดการค้าไปยังภูมิภาคอื่นมากขึ้น
"เรื่องที่สำคัญอีกอย่างคือ ประเทศไทยขาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมานาน จึงควรจะลงทุนให้เกิดผลในระยะยาวอาจต้องมีเงินใหญ่ถึง 4 ล้านล้านบาท หรือ 20% ต่อจีดีพี เพื่อให้จีดีพีโตในระยะสั้นได้ 1-1.5% จะช่วยลดทอนผลกระทบจากสงครามการค้าได้" ดร.ปิยศักดิ์ กล่าว
ส่วนระยะกลางและยาว อาจจะมีเรื่องการสร้างประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มากขึ้น และต้องเร่งสร้างท่าเรือฝั่งอันดามัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของไทย ควบคู่กับการปรับปรุงขั้นตอนภารัฐ และปรับลดกฎหมายกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังต้องการให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการด้านภาษีช่วยผู้ประกอบการ เช่นเดียวกับการดูแลตลาดเงินตลาดทุนด้วย