หลายคนมองเห็นว่าเป็นนโยบายบ้าเลือด หรือหมาบ้า หรือบ้าอำนาจ หรือเป็นการเคาะกะลา เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ มาเจรจา แม้ว่ามาตรการดังกล่าว พร้อมตัวเลขอัตราภาษีศุลกากรที่ออกมาจะแปลก แหวกแนว และพิสดารเกินนักเศรษฐศาสตร์ธรรมดาจะเข้าใจ
แต่ก็ดูเหมือนสะใจประธานาธิบดีมาก แถมไม่พอในการแถลงประกาศอิสรภาพทางการการค้าในวันนั้น ยังได้ด่าดักหน้าดักหลังพวกคัดค้านว่าโง่ หรือเข้าข้างประเทศอื่น ๆ ที่ปล้นสหรัฐฯ มาตลอด และปลอบใจ แกมกำหราบคนอเมริกัน ให้อดทน กัดฟัน งานนี้ยาก คนแพ้เท่านั้นคือคนอ่อนแอ เรียกว่า มาครบแบบของคนที่ได้รับเลือกจากประชาชนคนอเมริกัน
สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าหากมองไปไกลกว่าที่มีคนโจมตีความไม่เข้าท่าของนโยบายนี้ของ Trump อีกสักนิด ผมว่าเขาตั้งใจเล่นจีนเป็นหลัก กวาดทุกประเทศเพื่อขู่ไม่ให้เป็นฐานการผลิตที่จีนจะย้ายไปผลิตเพื่อส่งออกมาสหรัฐฯ
แต่ผมว่าหากมองไปลึกไปอีกนิด จากการที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจที่ใกล้ตัวเขามากที่สุดคือ Scott Bessant รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลังในปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยดังมาก่อนนั้นกล่าวทำนองว่า นโยบายภาษีศุลกากรที่กำหนดขึ้นนี้ คือ “การเริ่มต้นของกระบวนการปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ เศรษฐกิจระหว่างประเทศใหม่ของสหรัฐฯ” นั้น
แสดงนัยยะว่าสหรัฐจะต้องมีแนวคิดครบถ้วนแล้วว่าเป้าหมายสุดท้ายของกระบวนการนี้คืออะไร ซึ่งผมว่าไม่ว่าระบบใหม่จะเป็นอย่างไร สหรัฐฯ ก็ต้องวางตนเองเป็นผู้ได้เปรียบและคุมอำนาจทั้งหมดของระบบความสัมพันธ์ใหม่นี้ ไม่ว่าจะมองในมิติใดก็ตาม เหมือนกับที่เป็นมาในอดีต
ลองมาย้อนดูประวัติศาสตร์นั้น การปรับโครงสร้างระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทนั้น ครั้งแรกคือในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐฯ มีอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศมากที่สุดในฝ่ายพันธมิตร และได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้งระบบ Bretton Wood Agreement ที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกรวมหัวกันตั้ง หน่วยงานต่างๆ ที่คุมเศรษฐกิจของโลกขึ้นมา
รวมทั้งระบบอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศด้วย ซึ่งเป็นการตั้งองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ อาทิ ธนาคารโลก กองทุนระหว่างประเทศ (IMF) และตามมาด้วย GATT เพื่อดูแลเรื่องข้อตกลงการค้าและศุลกากรระหว่างประเทศในอีกสามปีต่อมา และสิ่งที่สหรัฐฯ ได้จากข้อตกลง Bretton Woods นั้น ที่สำคัญ ๆ ก็คือ เงินตราของประเทศต่าง ๆ อิงกับดอลล่าสหรัฐฯ โดยดอลล่าร์สหรัฐฯ อิงกับทองคำ
และประเทศต่าง ๆ บางประเทศที่อ่อนไหวต่อความมั่นคง (ที่สหรัฐฯ คิด) ต้องให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพ แลกกับที่สหรัฐฯ จะสนับสนุนให้กับประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สองสามารถส่งสินค้ามาขายในสหรัฐฯ ได้ง่าย โดยการลดภาษีศุลกากรให้ ซึ่งข้อสุดท้ายนี้ ทำให้ ญี่ป่น เยอรมัน ยุโรป เกาหลี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้รวดเร็วจากการส่งออกที่มีสหรัฐฯ เป็นปลายทาง
แต่สหรัฐฯ ก็มีอิทธิพลทางความมั่นคงในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมมีฐานทัพเกือบทุกจุดยุทธศาสตร์ในทุกภูมิภาคเพื่อการสกัดกั้นอิทธิพลของรัสเซียและจีน
ในการปรับระบบความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศอีกครั้ง เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 ที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษโดยประธานาธิบดีโรนัล เรแกน และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ มากาเร็ต แธตเซอร์ ที่ร่วมการสร้างแนวคิดของการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ ที่เราเรียกว่าNeo liberalization โดยพยายามให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนให้มากขึ้น รวมทั้งจำกัดการการแทรกแซงของรัฐ ในประเทศต่างๆ ในกิจการทางธุรกิจ เราก็เลยเห็นกติกาของโลกที่เป็นยุคเริ่มต้นของ Globalization ขึ้นมาและการถอยห่างของรัฐในการดำเนินงานทางเศรษฐกิจต่าง ๆ
เราก็ได้ยินคำว่า Privatization มากขึ้น กิจการต่าง ๆ ของรัฐที่เคยผูกขาด ก็จะเริ่มเปลี่ยนมือให้เอกชนเข้ามาทำแทน การทำงานและการบริหารอยู่ในรูปธุรกิจเอกชนมากกว่ารัฐวิสาหกิจ โดยเงื่อนไขเหล่านี้ถูกบรรจุในองค์กร GATT ที่ถูกแปลงร่างมาเป็น World Trade Organization (WTO) ที่รวมกติกาต่าง ๆ เพื่อการเคลื่อนไหวสินค้า ทุน และทรัพยากรต่าง ๆ ได้เสรี รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกถูกกดดันให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาด (Market Economy) มากขึ้น รัฐเข้ามายุ่งในเศรษฐกิจน้อยลง เป็นต้น
รูปแบบของโครงสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศครั้งที่สองนี้ สหรัฐฯ และประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องการเปิดตลาดด้านบริการของตนเองในประเทศที่กำลังพัฒนา เนื่องจากตั้งแต่การปรับระบบครั้งแรกมาแล้วกว่า 40 ปีนั้น ประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งสหรัฐฯ มีโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศที่เปลี่ยนไป ทุกประเทศเปลี่ยนจากประเทศผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม มาเป็นภาคบริการแทน และมีความได้เปรียบในเชิงเปรียบเทียบในสาขาบริการมาก ไม่ว่าสาขาการเงิน การศึกษา และบริการฐานเทคโนโลยี และจนถึงปัจจุบันที่ประเทศสหรัฐฯ จะขาดดุลทางการค้าสินค้า แต่จะได้ดุลทางด้านบริการ และเกินดุลในบัญชีทางการเงิน (Financial and Capital Account) มหาศาล เพราะโครงสร้างการแบ่งงานกันทำในระบบเศรษฐกิจโลก ที่สหรัฐฯ ออกแบบ ทำนวัตกรรม ส่วนประเทศเล็ก ๆ ผลิต ส่งมาขายในสหรัฐฯ ราคาสินค้าส่งกลับไปประเทศผลิตผ่านบัญชีดุลการค้า แต่ภายหลังกำไรจะถูกส่งย้อนกลับมาสหรัฐฯ ผ่านบัญชีทางการเงิน ใครๆ ก็รู้ แต่นักการเมืองสหรัฐฯ ทำไม่รู้ไม่ชี้ นอกจากนี้ สกุลเงินของสหรัฐฯ และยุโรป ยังคงสถานภาพเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศได้ทั่วโลก ทำให้ยังคงมีดีมานด์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการออกนโยบายของ Trump ครั้งนี้ ผมคิดจากคำพูดของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ J D Vance และ Petre Navarro ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายการค้าและการผลิต ของสหรัฐฯ รวมทั้ง Scott Bessent รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แล้ว น่าจะพอพูดได้ คือ
1. อย่าประมาทและดูถูกการออกนโยบายภาษีศุลกากรแบบนี้ของทรัมป์โดยเด็ดขาด เพราะผมไม่เชื่อว่าเขาทำโดยไม่รู้อะไรเลย แต่เตรียมมานานแล้ว ตั้งแต่การหาเสียงปีกว่า ๆ ก่อนเรื่องตั้งที่เขายกประเด็น Re - industrialization ของสหรัฐนั้น โดยความพยายามในการดึงให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมกลับเข้ามาลงทุนผลิตในประเทศ
2. แต่ผมเชื่อว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มองประโยชน์แค่ การเพิ่มการจ้างงาน หรือ GDP ภาคอุตสาหกรรม จากการลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในประเทศเท่านั้น เพราะเขาก็รู้ดีว่า ความสามารถในการแข่งขัน ทางด้านการผลิตนั้นสู้จีนและประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ ในเรื่องต้นทุนไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่เขามองไปไกลกว่านั้น ก็คือการสร้างอำนาจทางการทหาร เพราะ J D Vance พูดไว้ว่า การที่ประเทศขาดการพัฒนาการผลิตด้านอุตสาหกรรมนั้น ทำให้ขาดพื้นฐานการพัฒนาความมั่นคงและความก้าวหน้าทางการทหาร โดยจะเห็นได้ว่าจีนนั้นแต่เดิม ไม่สามารถสร้างเรือรบ และเรือบรรทุกเครื่องบินได้ แต่ในทศวรรษที่ผ่านมานั้น จีนสามารถสร้างเรือพาณิชย์ขนส่งทางทะเลได้มากกว่าที่สหรัฐทำมารวมกันตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 2 และวันนี้จีนสามารถสร้างเรือรบ และเรือบรรทุกเครื่องบิน ตัวเองได้เพราะการพัฒนา ความชำนาญ และความรู้ที่สะสม จากการเป็นฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลก
3. เป็นการกำหนดนโยบายของคนที่มีความรู้สึกที่เป็น “เจ้า”และมีอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ มาตลอด และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครที่เริ่มฉายแสงแข่งบารมี และทำให้โอกาสการเป็นเจ้าพ่อเบอร์ 1 เริ่มสั่นคลอน ก็จำเป็นที่จะต้องออกแรง ออกอิทธิฤทธิ์ ทุบหัวบ้าง กีดกัน ขัดขวาง เพื่อให้ตนยังคงดำรงสถานะเบอร์ 1 ของโลกของตัวเองต่อไปแม้ว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ประชาชนของตนเองก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าหากสามารถดำรงการเป็นมหาอำนาจได้ ดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นสกุลหลักของโลกต่อไปได้ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ ยังคงปลอดภัยจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจจากหนี้สินระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล
4. ความคาดหวังในการ Re – Industrialization ของสหรัฐฯ ผ่านการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงเช่นนี้กำลังท้าทายแนวคิดการแบ่งงานกันทำ และแน่นอนว่า หากยังเดินต่อไปตามมาตรการนี้ และดึงทุกส่วนของภาคการผลิตในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดมาตั้งในประเทศแล้ว ต้นทุนการผลิตจะไม่เป็นอย่างที่เห็น ซึ่งตลาดในประเทศ และผู้บริโภคของสหรัฐฯ จะทนรับผลที่ตามมาอย่างไรจากราคาที่สูงขึ้น และบริษัทสหรัฐฯ ที่ได้เคยได้กำไรสูงจากการจ้างการผลิตในประเทศที่ต้นทุนต่ำ ก็จะเผชิญหน้ากับต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้โอกาสในการแข่งขันในตลาดนอกประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้
ท้ายนี้ ผมยังเชื่อว่า Trump มีเป้าหมายในการใช้นโยบายแบบนี้ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าทางเศรษฐกิจ ทั้งผลประโยชน์ของตนเองและของสหรัฐฯ ประโยชน์ของตนเองนั้น ผมว่าคนอเมริกันและทั้งโลกรู้จักชื่อเขามากขึ้น แม้จะมีคนเกลียดมากขึ้น แต่ส่งที่มีผลต่อทางการเมืองของเขา คือ กลุ่มแฟนคลับจะรักและศรัทธาเขาแบบเข้ากระดูกดำมากขึ้น มองเขาเป็นคนรักชาติ (Patriots) ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกอนุรักษ์นิยมแบบอเมริกันจัด ๆ มองเป็นเทพเจ้าที่ต่อดูแล ปกป้อง ดูจากคำพูด คำปราศรัยในวันประกาศอิสรภาพ แต่ละคำนั้นปลุกความเป็นอเมริกันรักชาติแบบเหนือ ๆ คนอื่น และหยามเหยียดคนไม่เห็นด้วยว่าโง่ และไม่รักชาติ ที่ปล่อยให้คนอื่นปล้นคนอเมริกันมาตลอด และสร้างขั้วต่างและศัตรูให้ชัดเจน คือ จีน (จากเดิมรัสเซีย และตะวันออกกลาง) เปลี่ยนไปตามผู้ที่จะมาท้าทายความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐฯ
ดังนั้น หากทีมไทยแลนด์ไปเจรจากับสหรัฐฯ คราวนี้ ผมว่าอัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของเขาที่ 2% กว่า แม้บางรายการอาจเกินในหมวดเกษตร เนื้อสัตว์ และที่เขาเก็บเรา 8% กว่า ๆ ผมว่าเรื่องเล็กไปที่เขาจะขอแค่คุยเรื่องภาษีศุลกากรในรายการที่เราเก็บภาษีสูง ๆ หรือเรื่องการนำเข้าเนื้อแดงเท่านั้น แต่ผมว่าเขามองเรื่องความสัมพันธ์ต่างประเทศของไทยกับประเทศจีนมากกว่าเรื่องอื่น เพราะเป้าหมายหลักคือจำกัดอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้
และไม่ให้จีนมีทางออกมหาสมุทรแปซิฟิกจากคาบสมุทรแห่งนี้ เพราะตอนนี้เขาตั้งฐานทัพเรือรอบ ๆ ทะเลจีนใต้ ตั้งแต่เกาหลี ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์แล้ว เรื่องนี้ท้าทายการวางตัวของประเทศไทยในการต่อสู้ของสองขั้วมหาอำนาจ ในบริบทที่โลกกำลังไร้กติการระหว่างประเทศ และยิ่งสหรัฐฯ เกิดขอให้ไทยไม่เป็นฐานการผลิตของจีน หรือขอให้ลาออกจาก BRICs …. นึกถึงแล้ว ไม่จืดเลยครับ