การแข่งขันทางอำนาจระหว่างสหรัฐฯ-จีน ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

02 เม.ย. 2568 | 07:06 น.
อัปเดตล่าสุด :02 เม.ย. 2568 | 07:24 น.

บทความ "ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ" ตอนที่ 6 เรื่อง การแข่งขันทางอำนาจระหว่างสหรัฐฯและจีน ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดย ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD)

ในขณะที่อเมริกาของ ทรัมป์ มุ่งไปในทางที่สร้างโลกทัศน์ใหม่ของความยิ่งใหญ่ของอเมริกาที่จะออกห่างจาก ประเทศอื่นๆ แม้กระทั่งประเทศพันธมิตร และมุ่งที่จะเปลี่ยนระเบียบโลกที่วางอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบ (rule-based international order)

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD)

แต่จีนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มุ่งที่จะรักษาระเบียบโลกาภิวัตน์ แม้จะยอมรับว่าระเบียบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย จีนภายใต้ สี จิ้นผิง จึงได้ออกยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI หรือที่เรียกกันว่า ถนนสายไหมเส้นใหม่ หรือ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง) ตั้งแต่ปี 2016 เพื่อเชื่อมจีนกับโลกภายนอก ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน การคมนาคม และศิลปวัฒนธรรม ทั้งนี้เพื่อต้านแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการจะปิดล้อมจีน

เริ่มตั้งแต่ประธานาธิบดี โอบามา ที่พยายามก่อตั้งกลุ่มเศรษฐกิจการค้า Transpacific Partnership (TPP) ที่รวมเศรษฐกิจหลักของเอเชียที่ไม่มีจีนเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ที่น่าแปลกคือทรัมป์ เมื่อเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกกลับมาเป็นผู้ถอนสหรัฐฯออกจากกลุ่มการค้าเสรีนี้ ขณะนี้กลุ่มนี้แปลงมา เป็นชื่อ CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-Pacific Partnership)

สี จิ้นผิง พยายามสร้างจีนยุคใหม่ให้มีอำนาจทางการทหารให้ทัดเทียมกับอำนาจทางเศรษฐกิจ ด้วยการผลักดันกระแสชาตินิยมและระบบ Maxist-Leninist ไปพร้อมกัน ทําให้ เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียเรียกระบบใหม่นี้ของจีนว่า 'Marxist Nationalism' โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับไต้หวัน

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน

สี จิ้นผิง มีความชัดเจนมาก ในปี 2022 เขาเคยบอกกับไบเดน ว่าไต้หวันเป็น 'the very core of China's core interest' และ เขาเน้นในทุกโอกาสว่าเขาต้องการเห็นจีนเป็น 'one country, one people, one ideology' รวมทั้งในการให้ได้หวันกลับเข้ามารวมกับจีน เขาต้องการ 'peaceful reunification but not eliminating using force.' ดังนั้น ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับได้หวันจะไม่มีการต่อรองเป็นอย่างอื่นใดเป็นอันขาด สหรัฐฯยอมรับในเรื่องนี้มาโดย ตลอด แต่ก็ยังส่งอาวุธมาให้ใต้หวันอย่างต่อเนื่อง

เมื่อ ทรัมป์ ต้องการแยกสหรัฐฯออกไปควบคุมด้าน Western Hemisphere ก็คงต้องยอมให้จีนมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคเอเชียตะวันออก ซึ่งหมายความว่าการรวมตัวของจีนกับไต้หวันยากที่จะมีอำนาจภายนอกเข้ามา แทรกแซงได้ ยกเว้นในกรณีที่จะก่อให้เกิดการประนีประนอมและกระบวนการรวมตัวเป็นไปอย่างสงบที่สุด

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ปัญหาของจีนจึงคงไม่ได้อยู่ที่แสนยานุภาพของสหรัฐฯทั้งหมดที่อาจจะขยายเข้ามาช่วยด้านเอเชียตะวันออกได้ อย่างจริงจัง แต่จะเป็นห่วงในเรื่องบทบาทของญี่ปุ่นที่จีนค่อนข้างจะมีปัญหาจากการสู้รบในช่วงก่อน สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจีนยังไม่มีวันลืมและยังมีการระลึกถึงเป็นประจำทุกปี ความพร้อมของจีนจึงอาจจะขึ้น กับปัจจัยดังต่อไปนี้เป็นสำคัญ

1.ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ จีนจะต้องรอให้เศรษฐกิจในประเทศมีความมั่นคงแข็งแกร่งที่สุดก่อนที่จะ ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ขณะนี้จีนยังมีปัญหาทางโครงสร้างเศรษฐกิจอยู่บางประการ เช่น การพึ่งพาภาค อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างค่อนข้างมาก (ร้อยละ 30 ของเศรษฐกิจรวม) และยังมีความอ่อนแออยู่มาก เนื่องจากมีการขยายตัวมากเกินความต้องการ

บทความ "ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ"

นโยบาย zero-covid ที่ชะลอเศรษฐกิจอย่างมาก จนทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างล่าช้า ปี 2024 จีนต้องใช้มาตรการการเงินการคลังกระตุ้นอย่างแรงสุดเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 5 ได้ นอกจากนี้จีนยังมีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินมากมาย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทำให้จีนต้องระบายสินค้าเหล่านี้ไปต่างประเทศ สร้างปัญหาให้ประเทศคู่ค้าอย่างมาก และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาล ไบเดน ขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจีนทีเดียวร้อยละ 100

เศรษฐกิจจีนตอนนี้ จึงดูยังไม่พร้อมที่จะอำนวยโอกาสให้จีนสามารถออกไปมีปัญหานอกประเทศด้านการขัดแย้งที่รุนแรงได้

2. ความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี จีนมียุทธศาสตร์ Made in China 2025 ที่จะทำให้จีนเป็นประเทศที่ผลิต สินค้าเทคโนโลยีของตนเอง และมีแนวทางนวัตกรรมของตนเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากปี 2022 เมื่อสหรัฐฯปิดกั้นการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีที่สำคัญให้จีน ทำให้จีนขาด chips ที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมด้าน digital ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จึงได้ประกาศให้การผลิต chips เป็นอุตสาหกรรมหลักเพื่อให้จีนพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยี

ด้วยเหตุนี้บริษัทของไต้หวันคือ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ซึ่งเป็นผู้ผลิต chips คุณภาพสูงสุดที่ใช้ใน Al และเป็นผู้ผลิตสำคัญให้ Nvidia จึงมีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองของจีนทางด้านเทคโนโลยีมาก สหรัฐฯได้ปิดกั้นไม่ให้ TSMC ทำธุรกิจกับบริษัทจากจีนและชักจูงให้ TSMC มาลงทุนที่ Arizona ทำให้ไต้หวันมีความสำคัญต่อจีนในด้านเศรษฐกิจ พร้อมๆ กับด้านการเมืองมากยิ่งขึ้น TSMC เป็นบริษัทที่ผลิต chips ใหญ่ที่สุดในโลกและคลองตลาดอยู่ร้อยละ 70

การแข่งขันทางอำนาจระหว่างสหรัฐฯ-จีน ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

การปิดกั้นทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯต่อจีนกลับทำให้จีนทุ่มเงินลงทุนและเงินอุดหนุนมหาศาล เพื่อสามารถยืน อยู่บนขาของตนเองได้โดยเร็วที่สุด ผลที่เห็นคือ จีนกลายมาเป็นผู้ครองตลาดโลกในด้านการผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion ทําให้บริษัทรถยนต์ BYD ของจีนในปี 2024 สามารถขายรถไฟฟ้าได้ทั่วโลกมากกว่ารถยนต์ Tesla ของ Elon Musk
จีนยังได้พัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทน เช่น solar cell และ wind turbine ที่มีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้อุตสาหกรรมนี้ถดถอยไปในสหรัฐฯ และยุโรป

ที่เป็นข่าวใหญ่ของปี 2025 คือบริษัท Deepseek จากมณฑลหางโจวผลิต Al Chatbot ที่ทำงานได้ เฉกเช่น ChatGPT หรือ Liama ของ Meta แต่มีราคาถูกกว่ามาก แม้จะมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเข้าถึง chips ที่ มีความสามารถสูง เช่น H200 ของ Nvidia รุ่นใหม่สุด แต่ใช้ chips รุ่นเก่าของ Nvidia H800 ที่ไม่ถูกห้ามส่งออก แต่ใช้คณิตศาสตร์และ coding อย่างฉลาดที่

ทําให้ LLM แบบ RI ของ Deepseek มีสมรรถภาพเท่าเทียม กับ Open Al 01 model ซึ่ง ChatGPT ออกมาใช้ตั้งแต่ปลายปี 2023 (และ Open Al กับ Softbank วางแผนที่ จะลงทุนอีก 100 พันล้านดอลลาร์ ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของ Al ตามโครงการ Stargate ของ ทรัมป์)

Nvidia

เมื่อ model ของ Deepseek ออกตลาดในเดือนมกราคม 2025 มีผลทำให้หุ้นของ big tech ของอเมริกาตกกัน กราวรูดและหุ้นของ Nvidia ในวันเดียว (27 ม.ค.) สูญเสียมูลค่าไปประมาณ 600 พันล้านดอลลาร์ ผลผลิตของ Deepseek ถือกันว่าเป็น Sputnik moment เทียบกันได้กับปรากฏการณ์ที่โซเวียตส่งดาวเทียมเข้าสู่อวกาศในปี 1957 ที่แสดงให้โลกเห็นว่าสหรัฐฯไม่ได้ผูกขาดทางเทคโนโลยีด้านอวกาศอีกต่อไป

ที่สำคัญคือ Deepseek ใช้เงินลงทุนน้อยกว่ามากและใช้พลังงานและ cooling water จำนวนน้อยกว่าอีกด้วย ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าจีนกำลังเข้าสู่ยุค Made in China หลังปี 2025 ที่จะมีพลังและความพร้อมมากขึ้นอย่างมีนัยต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกอย่างแน่นอน

3. ความแข็งแกร่งทางด้านการทหาร แม้ว่าแสนยานุภาพของจีนยังเทียบกับสหรัฐฯไม่ได้ การพัฒนากองทัพของ จีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างไม่นานมานี้ จีนทำการซ้อมรบร่วมกับกองทัพรัสเซีย โดยใช้เครื่องบินรุ่น H-6 บินเหนือ Sea of Japan เครื่องบินนี้มีเทคโนโลยีล่าสุดที่สามารถทำการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศได้ ทำให้สามารถบินเข้าไปทิ้งระเบิดได้ในรัศมีที่กว้างไกลมากขึ้น

จีนส่งเครื่องบินทหารปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าของทะเลจีนใต้บ่อยขึ้น รวมทั้งส่งเครื่องบินต้านเรือดำน้ำออกปฏิบัติการถี่ยิ่งขึ้น สืบเนื่องจากการที่มียานใต้น้ำไร้คนขับของสหรัฐฯถูกกองทัพจีนยึดได้เมื่อปี 2016 ในระยะเวลาเดียวกันสหรัฐฯก็เพิ่มการลงทุนในฐานทัพเรือที่เกาะกวมอย่างมหาศาลอย่างน้อยปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ประเภทจู่โจมที่เกาะกวมอยู่ 5 ลำ เร็วๆ นี้ก็ส่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์ USS Minesota ซึ่งเป็น Virginia Class ที่ทันสมัยสุดเข้าไปที่ฐานทัพนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ จีนยังห่วงการสร้างอำนาจทางการทหารของสหรัฐฯผ่านการร่วมมือของ AUKUS (Australia, UK, USA) ที่มีฐานทัพเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ที่ Australia 3 ลำที่สหรัฐฯได้ให้ Australia เปลี่ยนจากการทำสัญญา สร้างร่วมกับรัฐบาลฝรั่งเศสมาเป็นสัญญากับรัฐบาลอังกฤษแทนที่จะสร้างเรือรบด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจาก สหรัฐฯ

ความเห็นของประชากร Australia แบ่งเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่ต้องการเข้าข้างกับสหรัฐฯอย่างเต็มตัว กับอีกฝ่ายที่ต้องการรักษาความเป็นกลางระหว่างจีนและสหรัฐฯ

ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกมีแนวโน้มที่จะไม่เลือกข้าง และต้องการรักษาความเป็นมิตรกับทั้งสองฝ่าย

สำหรับอาเซียน อินโดนีเซียพยายามแสดงความเป็นกลาง โดยที่ปลายปี 2024 ประธานาธิบดี บราโบโว ได้เดินทางไปเยือนปักกิ่ง เพื่อแสดงความเป็นกลางในกรณีข้อพิพาทระหว่างสมาชิกของประเทศอาเซียนบางประเทศและจีนในพื้นที่ของทะเลจีนใต้ แต่ก็ถูกโจมตีว่าเข้าข้างปักกิ่ง

ที่ประชุมสุดยอดของอาเซียน (ตุลาคม 2024) ตกลงในเรื่อง Code of Conduct เพื่อกำกับการใช้ทะเลจีนใต้ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับโดยสหประชาชาติ แต่จีนไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ สถานการณ์ในเอเชียตะวันออกนับว่ายังมีความละเอียดอ่อนอยู่มาก และการสะสมอาวุธยุโธปกรณ์ในภูมิภาคนี้ยังถือว่ามีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

4. ความแข็งแกร่งของกลุ่มพันธมิตร จีนได้พยายามสร้างกลุ่มพันธมิตรทั้งทางการค้าและการเมืองไว้หลายกลุ่ม กลุ่ม APEC น่าจะเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสำหรับจีนมากที่สุด แม้ว่าทั้งกลุ่มจะไม่ได้เป็นพันธมิตรของจีนก็ตาม แต่ก็เป็นกลุ่มที่เป็นตัวแทนประเทศเกือบจะทั่วโลก รวมทั้งสหรัฐฯ จีน และประเทศจากอเมริกาใต้ ทุกครั้งที่มี APEC Summit ที่จีนจะมีการจัดงานอย่างยิ่งมากที่สุด ครั้งที่ สี จิ้นผิง มาประชุมกลุ่ม APEC ที่ประเทศไทย (ธันวาคม 2022) เขาประกาศนโยบายของจีนผ่านที่ประชุมอย่างชัดเจนว่า

1) เอเชียแปซิฟิคไม่ใช่ backyard ของใคร

2) ไม่ต้องใช้ “การค้า” เป็นเครื่องมือทางการเมือง

3) ไม่ต้องการ confrontation หรือ cold war

4) สนับสนุน FTA-AP (Free Trade Area of Asia Pacific) และการเชื่อมโยงกลุ่ม RCEP + CPTPP + DEPA (กลุ่มทาง digital)

รวมทั้งเน้นบทบาทของศตวรรษที่ 21 ว่าเป็นศตวรรษของเอเชียแปซิฟิต ซึ่งแน่นอนว่าจีนจะต้องมีบทบาทที่สำคัญ

กลุ่มที่เป็นพันธมิตรแท้จริงของจีนขนาดนี้คือกลุ่ม BRICS ที่ได้ขยายสมาชิกออกมาอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึง ไทยและอินโดนีเซียจากกลุ่มอาเซียนที่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสมทบ BRICS สร้างแรงกระเพื่อมในสถานการณ์ ภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างมาก ในการประชุมครั้งล่าสุดที่ปูตินเป็นเจ้าภาพที่เมือง Kazan ในรัสเซีย กลุ่มนี้มีสมาชิกเพิ่มอีก 13 ประเทศ กลุ่มนี้มีแนวโน้มทางการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่ม G7 ของฟากตะวันตก และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวมาทำหน้าที่เป็นกลุ่มตัวแทนของ global south ที่จะสร้างพลังทางเศรษฐกิจของตนเองขึ้นมา

การประชุมที่ Kazan นั้น สี จิ้นผิง เสนอการปฏิรูประบบการเงินระหว่างประเทศที่มีความครอบคลุมและ ยุติธรรมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การส่งเสริมการสร้างระบบ BRICS CLEAR ให้เป็นทางเลือกในการชำระหนี้ และฝากเงินข้ามพรมแดนที่เป็นอิสระและยึดกับสกุลเงิน BRICS ที่หนุนตัวยทองคำ เพื่อใช้เป็นทางเลือกแทนเงิน สกุลดอลลาร์สหรัฐ

แม้ว่าความพยายามเช่นนี้ดูจะมีน้ำหนัก เพราะมาจากจุดยืนของจีน แต่ความเป็นไปได้มีอยู่น้อยมาก สังเกตได้จากเงินสกุลหยวนของจีนที่ได้มีความพยายามที่จะปั่นให้กลายมาเป็นเงินทุนสำรองเฉกเช่น เงินดอลลาร์ ยูโร เยน แต่แม้ใช้เวลามาหลายสิบปีแล้ว การใช้เงินสกุลหยวนในการค้าระหว่างระหว่างประเทศก็ยังมีความหมายน้อยมาก และอาจจะไม่เกินร้อยละ 10 ของปริมาณเงินโลกที่หมุนเวียนอยู่ในระบบการค้าพหุภาคี

ดังนั้นเหตุผลที่ไทยเสนอในการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS เพื่อสนับสนุนการก่อตั้งเงินสกุลใหม่ดูอาจจะมีน้ำหนักน้อย แต่ที่สำคัญกว่าคือ หากมีฉันทามติของอาเซียนทั้งกลุ่มจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ด้วยเหตุผลว่ากลุ่มนี้ต่อไปจะทำงานร่วมกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่เรียกกันว่า G70 แต่ที่โดยจะมีพลังจริงจังยิ่งขึ้นกว่าเดิม

สภาพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช) ก็ได้ออกคำเตือนว่าไทยควรจะพิจารณาศึกษาประโยชน์และผลกระทบเชิงลึกที่ไทยจะได้รับและเปรียบเทียบกับการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มเศรษฐกิจอื่น

จีนยังมีกลุ่มประเทศอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในแนวร่วมในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจพร้อมกับด้านการเมืองและการป้องกันประเทศ เช่น กลุ่ม Shanghai Five ที่มีพันธมิตรจากกลุ่มเอเซียกลางเป็นหัวใจสำคัญ กลุ่ม Lancang-Mekong Cooperation (LMC ที่รวม CLMVT กับจีน) อนุภูมิภาค Greater Mekong Subregion (GMS) ที่จีนมีมณฑลยุนนานและกวางสีจ้วงเข้าร่วม และกลุ่ม BRI ที่มีสมาชิกจากประเทศทั่วโลก

นอกจากการสร้างและมีส่วนร่วมในกลุ่มทางเศรษฐกิจการค้าและภูมิรัฐศาสตร์แล้ว จีนยังมีความพยายามที่จะใช้ soft power ทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือในการสร้างสายสัมพันธ์ที่มีความเสมอภาคทั่วโลก สี จิ้นผิง ได้เคยเสนอเรื่องนี้ในปี 2023 ผ่านโครงการ Global Civilisation Initiative (GCI) ที่เน้นหลักการของการเคารพในความหลากหลายของวัฒนธรรมและการมีค่านิยมร่วมกันของมนุษยชาติ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนและร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศควบคู่ไปกับการจัดตั้งสถาบัน Confucius Initiative เป็นพันแห่งทั่วโลก (ซึ่งสหรัฐฯได้ปิดสถาบันนี้ไปแล้วจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ)

เรียกได้ว่า การสร้างพันธมิตรของจีนไปทั่วโลกมีหลายมิติ ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากประเทศอื่น เช่น ที่ฝรั่งเศสมี Alliance Française เยอรมนีมี Goethe Institute และสหรัฐฯมี USAID ซึ่งทรัมป์ 2 พยายามจะยกเลิกหรือย้ายเข้าไปกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสามารถควบคุมผลจากการให้ความช่วยเหลือได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ระเบียบโลกใหม่ที่ทั่วโลกห่วงมากคือกรณีที่สหรัฐฯเข้ามามีอำนาจเหนือ Greenland จีนรวมกับไต้หวัน และ รัสเซียกลืนยูเครน ระเบียบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายอย่างแน่นอน แต่ทุกอย่างก็อยู่ในสภาพที่เป็นไปได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะสถานการณ์ในยุโรปในฟากของยุโรปตะวันตกยังมีความไม่กลมกลืนกันอยู่มาก โดยเฉพาะในการให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครน ท่าทีต่อรัสเซีย และการเกิดขึ้นของการเมืองฝ่ายขวาสุดโด่งที่มีอยู่แล้วที่ฮังการี และอาจจะเกิดขึ้นต่อไปที่ฝรั่งเศสและเยอรมนี