เจาะวิกฤต “เด็กไทย” หลุดจากระบบการศึกษาครึ่งปียังมีเป็นหมื่นคน

17 ก.ค. 2565 | 00:24 น.

เจาะวิกฤต “เด็กไทย” ทั้ง นักเรียน นักศึกษา หลุดออกจากระบบการศึกษาเพียบ เปิดข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ พบครึ่งปีแรก ยังเหลือจำนวนเด็กตกหล่นอีกกว่า 1 หมื่นคน จากหลายสาเหตุ ไปตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกถึงเรื่องนี้ พร้อมแนวทางการแก้ปัญหาว่าจะทำได้แค่ไหน

สถานการณ์เด็กไทยหลุดออกจากระบบการศึกษา กลายเป็นปัญหาหนึ่งที่น่าตกใจ และจำเป็นต้องเร่งหาทางแก้ไขโดยการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กเหล่านี้ เพราะหลายคนที่ออกจากระบบการศึกษา ไม่ใช่เฉพาะปัญหาจากการแพร่ระบาดโควิด 19 เท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลอื่น ๆ เช่น ความจำเป็นของครอบครัว เพื่อน หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ด้วย

 

โดยช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้สำรวจพบว่า มีเด็กตกหล่นที่หลุดออกจากระบบการศึกษามากถึง 238,707 คน ทำให้รัฐบาลและทุกหน่วยงานพยายามหาแนวทางช่วยกันทุกวิถีทาง โดยมีการแก้ปัญหาเชิงรุกผ่านโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” 

 

ผ่านความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) พร้อมด้วย 11 พันธมิตรจากหน่วยงานภาครัฐ

โดยได้เริ่มต้นลงพื้นที่ปักหมุดค้นหาเด็กหลุดออกนอกระบบ ซึ่งในช่วงเดือนมกราคม 2565 ที่เริ่มต้นโครงการ มีตัวเลขจำนวนนักเรียน นักศึกษา นักเรียนพิการ และผู้พิการ ที่ตกหล่นและออกกลางคัน เหลือ 121,642 คน 

 

ในจำนวนนี้เป็นนักเรียน นักศึกษา กลุ่มปกติ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) รวม 67,129 คน พบตัวแล้ว 52,760 คนในจำนวนนี้ แยกเป็น

  • เด็กที่กลับเข้าระบบการศึกษา 31,446 คน 
  • ไม่กลับเข้าระบบ 21,314 คน 

 

ส่วนจำนวนนักเรียน นักศึกษา กลุ่มอื่น ๆ มีดังนี้ 

  • กลุ่มที่อยู่ระหว่างการติดตามอีก 5,628 คน 
  • กลุ่มที่ติดตามแล้วไม่พบตัว 8,741 คน 
  • ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มนักเรียนพิการ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) สพฐ. และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักศึกษา กศน.อายุเกิน 18 ปี ที่เกินวัยการศึกษาภาคบังคับ และมีความต้องการประกอบอาชีพ

กระทรวงศึกษาธิการ แจ้งข้อมูลว่า จากการติดตามลงพื้นที่จริงทั่วประเทศ ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2565 ถือเป็นเฟสแรกในการดำเนินงานโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ส่งผลให้มีจำนวนเด็กที่หลุดออกนอกระบบลดน้อยลง แต่ก็ยังเหลือจำนวนอีกกว่า 1 หมื่นคน ที่ยังหลุดออกนอกระบบ

 

โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” แก้ปัญหาเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษา

 

สำหรับปัญหาอุปสรรคที่พบมีหลายด้านเช่นกัน ดังนี้

  1. ปัญหาด้านครอบครัว เนื่องจากนักเรียนที่หลุดระบบการศึกษาส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีปัญหาด้านค่าใช้จ่าย ครอบครัวหย่าร้าง ต้องช่วยพ่อแม่ประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัว ประกอบกับมีพี่น้องหลายคนอาศัยอยู่กับปู่ย่า ตายาย จึงทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนในระบบได้
  2. ปัญหาด้านการบันทึกข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน เช่น นักเรียนได้ย้ายสถานศึกษาจากโรงเรียนเดิมไปแล้ว ซึ่งโรงเรียนได้ดำเนินการย้ายนักเรียนตามขั้นตอนดำเนินงานที่ถูกต้องแล้ว หรือนักเรียนจบการศึกษาในระดับชั้น ม.3 จากโรงเรียนขยายโอกาสฯ ไปแล้ว แต่ยังมีข้อมูลนักเรียนว่าเป็นนักเรียนออกกลางคัน
  3. นักเรียนมีอายุเกินเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ โรงเรียนได้จำหน่ายนักเรียนออกจากฐานข้อมูลนักเรียนไปแล้ว แต่ยังมีข้อมูลนักเรียนว่าเป็นนักเรียนออกกลางคัน
  4. ข้อมูลนักเรียนไม่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ มีหลายฐานข้อมูล ส่งผลกระทบต่อการติดตามในเชิงพื้นที่
  5. ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนในช่วงโควิด 19 ทำให้เรียนไม่ทัน จึงหยุดเรียน ประกอบกับผู้ปกครองพาเด็กไปทำงานรับจ้าง ส่งผลกระทบต่อการติดตามตัวเด็ก
  6. ความหลากหลายของชาติพันธุ์นักเรียน เช่น กระเหรี่ยง มูเซอ แม้ว ไทยใหญ่ และประเทศเพื่อนบ้านที่อพยพมาจากพื้นที่ชายขอบ ที่มีวิถีทางขนบธรรมเนียมของแต่ละชนเผ่าที่เน้นให้ความสำคัญกับการดำรงชีวิต มากกว่าการมุ่งให้ความสำคัญในการศึกษา

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การทำงานในเรื่องนี้เป็นไปตามเป้าหมาย กระทรวงศึกษาธิการ มีข้อเสนอ ดังนี้ 

  1. ต้องแนะนำให้นักเรียนเข้าเรียนการศึกษานอกระบบ (กศน.) หรือเรียนสายวิชาชีพ เพื่อจะได้ประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัว และสามารถเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับหรือการศึกษาขั้นพื้นฐาน 
  2. เร่งพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลนักเรียนในแอปพลิเคชัน Dropout ของ สพฐ. ให้เป็นระบบเดียวกัน เป็นปัจจุบัน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของสถานศึกษาทุกสังกัด โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก เพื่อป้องกันการบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อนของสถานศึกษา หรือการเปลี่ยนชื่อ-สกุลของนักเรียน 
  3. ให้หน่วยงานในระดับจังหวัดและภาคเข้ามาช่วยเรียกดูข้อมูลในภาพรวมของจังหวัดและภาคของตนเองในแอปพลิเคชัน Dropout เพื่อความรวดเร็วในการประสานงานและเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีการติดตามทุกภาคเรียน เพื่อความชัดเจนของข้อมูล