ดัน "สรรคบุรีโมเดล" ต้นแบบการวิจัย แก้ความยากจน-ความเหลื่อมล้ำ

05 ก.ค. 2565 | 13:21 น.

คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติด้านความเสมอภาคทางสังคม ดัน "สรรคบุรีโมเดล" จังหวัดชัยนาท ยกเป็นต้นแบบการวิจัยแก้ความยากจน และความเหมื่อมล้ำ เน้นใช้งานวิจัยมาสร้างการมีส่วนร่วม

นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ เตรียมสรุปงานและทำข้อเสนอแนะสำหรับการทำงานในช่วง โดยเฉพาะแนวทางการแก้ความยากจน และเหลื่อมล้ำนั้น เห็นว่า จำเป็นต้องใช้งานวิจัยเป็นฐานในการแก้ปัญหาให้ตรงจุด

 

“ในสิ้นปี 2565 นี้จะครบ 5 ปีแรกของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติฝ่ายต่าง ๆ เตรียมสรุปงานและทำข้อเสนอแนะสำหรับการทำงานในช่วงต่อไป”

 

สำหรับโมเดลหนึ่งที่น่าสนใจกับการแก้ความยากจน และเหลื่อมล้ำ คือ การผลักดัน “สรรคบุรีโมเดล” ที่ขับเคลื่อนโดยทุนวิจัยของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และสถาบันวิทยาลัยชุมชน ในสังกัดกระทรวงอุดมศึกษาฯ เป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างกลไก ส่งเสริมความเชื่อมั่นและสามัคคี ซึ่งมีโอกาสที่จะแก้ความยากจนได้สำเร็จ

 

ทั้งนี้จากการวิจัยของสถาบันวิทยาลัยชุมชนร่วมกับประชาชนในพื้นที่มีตัวอย่างในอำเภอสรรคบุรี ว่ามีครัวเรือนยากจนที่ไม่ได้เข้าระบบสวัสดิการมากถึง 938 คิดเป็นการตกหล่น 287.7% เมื่อเทียบกับแผนที่ความยากจนที่ระบุว่ามีครัวเรือนยากจน 326 ครัวเรือน

“งานวิจัยมีความสำคัญที่ทำให้ความช่วยเหลือไปได้ถูกทิศทาง และการที่ บพท.วางงานแก้จนไว้ตั้งแต่ระดับต้องพึ่งพิง ระดับรอการพัฒนา และระดับการเป็นผู้ประกอบการ โดยดึงภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาร่วมงานจึงตอบความต้องการในพื้นที่ได้ทุกระดับ ทั้งยังสอดคล้องกับการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ”

 

โดยโมเดลดังกล่าว ที่ผ่านมาจังหวัดชัยนาท สถาบันวิทยาลัยชุมชนและ บพท. ร่วมกันจัดทำกลไกความร่วมมือ 23 หน่วยงานในอำเภอสรรคบุรีและในจังหวัด  ทั้งจากภาคราชการ ภาคธุรกิจและประชาสังคม เพื่อเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมต่าง ๆที่ เกิดขึ้นในอำเภอสรรคบุรี 

 

แบ่งออกตามระดับความต้องการของประชาชน เช่น กองทุนข้าว ที่ชุมชนปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวในที่ดินว่างเปล่าที่วัดอนุญาตให้ใช้ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในระดับพึ่งพิงมีอาหารเพียงพอ และการแปรรูปสมุนไพรท้องถิ่นเพื่อสร้างผู้ประกอบการที่สถาบันวิทยาลัยชุมชน โรงพยาบาลร่วมส่งเสริม และการเชื่อมโยงภาคีเอกชน เช่นหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมในการพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงานเพื่อนำประชาชนเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิต

นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวนับว่ามีความก้าวหน้าที่ทุกภาคส่วนมองเห็นปัญหาและพร้อมเข้ามาร่วมแก้ไข ซึ่งจะเป็นทางออกที่ดีและยั่งยืนได้ต่อไป

 

“การแก้ปัญหาโดยพึ่งพิงรัฐเพียงอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้และไม่ยั่งยืน ซึ่งการทำงานของ บพท.ใน 20 จังหวัดยากจนได้พิสูจน์แล้วว่าพอมีข้อมูลจากงานวิจัยมาให้เห็นความจริง จะสร้างมุมมองใหม่ที่กระตุ้นความร่วมมือในพื้นที่ได้ดี เมื่อประชาชนในพื้นที่เจ้าของปัญหาเริ่มขยับแล้ว โอกาสความสำเร็จก็เพิ่มมากขึ้น”

 

อย่างไรก็ตามการตรวจค้นคนจนใน 20 จังหวัด พบว่า มีครัวเรือนยากจนตกหล่นความช่วยเหลือ 187,089 ครัวเรือนหรือประมาณ 850,000 คน ซึ่ง บพท.ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำเข้าสู่ระบบความช่วยเหลือขึ้นต้น

 

พร้อมทั้งร่วมกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศจัดทำโครงการความร่วมมือในพื้นที่ ยกระดับความรู้ ทักษะ และศักยภาพด้านอาชีพเพื่อให้บุคคลเหล่านั้นยืนได้ด้วยตัวเองในอนาคต