“สนธิรัตน์”ลุยตลาดบางเขนฟังปัญหา“ของแพง”โอด 500 บาทไม่พอจ่ายตลาด

03 ก.ค. 2565 | 07:43 น.

“สนธิรัตน์”นำทีมสร้างอนาคตไทย ลุยตลาดบางเขน ฟังปัญหาของแพงจากผู้ค้า โอดพกเงิน 500 บาท จ่ายตลาดไม่พอ สอนมวยรัฐบาลต้องทำงานเชิงรุก แก้ปัญหาที่ต้นทาง

วันนี้ (3 ก.ค.65) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมด้วย นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรค , นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค นายพงศ์พรหม ยามะรัต และ น.ส.โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ รองโฆษกพรรค ลงพื้นที่ตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. เพื่อสำรวจราคาสินค้า จับจ่ายใช้สอย โดยซื้อเนื้อสัตว์ ผัก และ ผลไม้ พร้อมทั้งพูดคุยรับฟังปัญหา ให้กำลังใจพ่อค้า แม่ค้า และประชาชาชนในพื้นที่

                 “สนธิรัตน์”ลุยตลาดบางเขนฟังปัญหา“ของแพง”โอด 500 บาทไม่พอจ่ายตลาด
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า วันนี้ตัดสินใจลงพื้นที่ตลาดบางเขน เพื่อต้องการรับฟังประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าโดยตรง ก็พบว่าพวกเขาลำบาก ซึ่งเรื่อง “ของแพง” เป็นเรื่องใหญ่ต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และวันนี้พวกเขาดีใจที่ได้สะท้อนปัญหาไปสู่การบริหารจัดการของรัฐบาล โดยเรื่อง “ของแพง” เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไข เพราะของแพงเกือบทุกอย่าง ทั้งของกิน และของใช้ รัฐจะต้องใส่ใจใกล้ชิดควบคุมดูแล ยกเว้นของที่ไม่สามารถขึ้นราคาได้ 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ของแพงมาจากหลายมิติ มิติแรกคือ ค่าขนส่ง ที่เป็นราคาของพลังงาน ซึ่งรัฐบาลต้องเจอปัญหาพลังงานไปอีกถึงสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า ที่จะส่งต่อมาถึงราคาสินค้า โดยปกติค่าขนส่งอยู่ที่ 2% ของราคาขายสินค้าในตลาด แต่ไม่ได้หมายความว่า 2% เป็นค่าขนส่งอย่างเดียว มีองค์ประกอบอื่นด้วย และโดยเฉลี่ยคิดว่าราคาน้ำมันแพงจะมีผลต่อราคาสินค้าปลายทาง 3-4% ซึ่งมองแค่ค่าขนส่งในมิติเดียว 

                        “สนธิรัตน์”ลุยตลาดบางเขนฟังปัญหา“ของแพง”โอด 500 บาทไม่พอจ่ายตลาด

 

ส่วนที่ของไม่แพง ก็เพราะผู้ค้าอดทนที่จะไม่ขึ้นราคา ซึ่งพรรคสร้างอนาคตไทยมีแนวคิดแก้ปัญหา “ของแพง” เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องโฟกัสให้ได้ เพราะของแพงเป็นเรื่องปลายทางที่กระทบประชาชนทุกคนทุกครัวเรือน 

รวมถึงเรื่องอาหารสัตว์ รัฐบาลต้องไปดูตั้งแต่ต้นทาง จะแก้ปัญหาด้วยการกำกับราคาที่ปลายทางไม่ได้ รัฐบาลต้องใส่ใจรายละเอียดตรงนี้ ลงไปดูทีละรายการไม่ให้ต้นทุนของสินค้าถูกกระทบ ซึ่งในบางรายการอาจจะต้องพิจารณาเรื่องภาษี เพราะตอนนี้ผู้นำเข้าจะเจอเรื่องภาษี

                            “สนธิรัตน์”ลุยตลาดบางเขนฟังปัญหา“ของแพง”โอด 500 บาทไม่พอจ่ายตลาด

จึงอยากให้ใช้ความช่วยเหลือของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาให้ปุ๋ยราคาถูก โดยใช้แนวคิดคล้ายกับนโยบายประกันรายได้ ได้หรือไม่ แต่นโยบายประกันรายได้เป็นการไปแก้ปัญหาที่ปลายทาง แต่ตอนนี้ต้นทางราคาขึ้น ดังนั้น รัฐบาลควรใช้มาตรการจัดสรรปุ๋ยราคาถูกต่อเกษตรกร 1 ครัวเรือน และต่อจำนวนไร่ โดยรัฐควรไปจัดหาปุ๋ยราคาถูก เพื่อชดเชยช่วยเหลือ 


เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวด้วยว่า พรรคสร้างอนาคตไทยยังเห็นว่า ควรมีการจัดการด้านการตลาดแก่ผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่ง พวกเขากำลังลำบาก รัฐต้องเข้าไปดูโดยไม่ให้มีการค้ากำไรเอาเปรียบในภาวะแบบนี้ รวมถึงรัฐบาลควรส่งเสริมผู้ค้าที่ดีให้อยู่ได้โดยมีมาตรการดูทั้งระบบ วันนี้ไม่มีโจทย์ใหญ่อะไรเท่ากับทำอย่างไรจึงจะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน สร้างให้เศรษฐกิจและธุรกิจยังหมุนอยู่ได้

                 “สนธิรัตน์”ลุยตลาดบางเขนฟังปัญหา“ของแพง”โอด 500 บาทไม่พอจ่ายตลาด
“พรรคสร้างอนาคตไทยได้เตรียมการและศึกษาเรื่องนี้ไว้แล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ออกมาสะท้อนให้ผู้บริหารประเทศได้รับทราบ อะไรที่ดีอยากให้เอาไปใช้ อย่ามองว่าเป็นข้อเสนอจากพรรคใด” 


นายสนธิรัตน์ ยังเห็นว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลในตอนนี้เป็นเรื่องของปลายทาง โดยการรับเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ เป็นเพียงมิติด้านเดียวในการแก้ปัญหา ซึ่งรัฐบาลจะใช้วิธีแบบปกติในการแก้ปัญหาไม่ได้ ถือเป็นลูกระเบิดเวลา ดังนั้นจะต้องทำงานเชิงรุกมากกว่าเดิม

 

ในเวลาต่อมา นายสนธิรัตน์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า มาดูกันครับว่าเงิน 500 บาท ซื้ออะไรได้บ้างในตลาดสดวันนี้


วันนี้ผมมาเดินตลาดสดแถวๆ พหลโยธินเพื่อซื้อของตามโพยที่แม่บ้านผมให้มาครับ


ผมต้องซื้อของสด เนื้อ ผัก ไปทำกับข้าว ก็พบว่า 500 บาทไม่พอครับ กับการซื้อของสดไปทำกับข้าว 3 อย่าง


ของที่ได้ ก็มีเนื้อครึ่งกิโล กุ้ง ผัก และเครื่องแกงมาทำแกงเขียวหวานเนื้อ ผัดผัก แล้วก็ไข่เจียว

                           “สนธิรัตน์”ลุยตลาดบางเขนฟังปัญหา“ของแพง”โอด 500 บาทไม่พอจ่ายตลาด
จริงๆ ไม่กี่เดือนที่แล้วซื้อของขนาดนี้กับเงินที่ได้มามันยังพอแถมมีเงินทอนกลับไปอีกด้วย


นี่ไม่นับว่าผมถามราคากับข้าวถุง ก็มีทั้งขึ้นราคาแล้วก็ลดปริมาณการตักลง เพื่อให้อยู่ได้ทั้งคนซื้อคนขาย


ผมไปดูข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่สรุปดัชนีเศรษฐกิจการค้า เดือน พ.ค. มา ก็เห็นว่า ราคาสินค้าได้เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่ราคาสูงขึ้นถึงร้อยละ 6.18 เพราะต้นทุนที่สูงขึ้น


ต้นทุนทีเห็นได้ชัดคือราคากลุ่มพลังงาน ที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นถึงร้อยละ 35.89 ค่าไฟฟ้าก็สูงขึ้นร้อยละ 45.43 ตามค่า FT ที่จะปรับขึ้นเหมือนกัน ยังไม่รวม ราคาก๊าซหุงต้มครัวเรือน หรือ แอลพีจี (LPG) จะมีการปรับขึ้นราคาอีกครั้ง โดยจะขึ้นกิโลกรัม (กก.) ละ 1 บาท ส่งผลให้ก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 กก. โดยราคาจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 378 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2565

                            “สนธิรัตน์”ลุยตลาดบางเขนฟังปัญหา“ของแพง”โอด 500 บาทไม่พอจ่ายตลาด
และจะทยอยปรับขึ้นอีก 15 บาทในเดือนสิงหา ทำให้ราคาเพิ่มเป็น 393 บาทต่อถัง 15 กก. แลเป็น 408 บาทต่อถัง 15 กก.ในเดือนกันยา
ไม่อยากจะคิดครับว่าต้นทุนการใช้ชีวิตของประชาชนทั่วไปจะเป็นอย่างไร


จากราคาพลังงาน มาที่ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การจัดการภายในประเทศในภาวะเช่นนี้ ต้องมองให้ทะลุ ต้องมีการวางการช่วยเหลือแบบเฉพาะกลุ่มให้มากขึ้น


ไม่ว่าจะเป็นการเข้าช่วยเหลือเรื่องต้นทุนการผลิต ราคาปุ๋ย พลังงาน และการช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกครับ