บิ๊กตู่’หนุนรีไซเคิลซากรถเก่า ‘มิลล์คอน’รับลูกเพิ่มกำลังผลิตเท่าตัว

08 เม.ย. 2565 | 05:55 น.

กลุ่มมิลล์คอนฯ ขานรับนโยบาย“บิ๊กตู่” ลุยรีไซเคิลซากรถเก่า เล็งเพิ่มกำลังผลิตกว่าเท่าตัวเป็น 7 หมื่นคันต่อเดือน จากซากรถนำเข้าต่างประเทศเดือนละ 3 หมื่นคัน ชี้หากรีไซเคิลซากรถทั้ง 5 ล้านคัน จะได้เหล็กประมาณ 6.55 ล้านตัน ช่วยลดการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศได้มาก

 

กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) โครงการสาธิตสำหรับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนที่คำนึงถึงการอนุรักษ์พลังงานเพื่อการรีไซเคิลทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมสำหรับซากยานพาหนะที่หมดอายุใช้งานในประเทศไทย (ELV Project: End-of-life Vehicles in Thailand) ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (NEDO: New Energy and Industrial Technology Development)

 

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการดำเนินการสนับสนุนการรีไซเคิลซากรถทั่วประเทศ ตามมาตรการรองรับขยะจากซากรถยนต์เก่าที่หมดอายุการใช้งานในประเทศ และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงานหาแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อให้ธุรกิจเกี่ยวกับการรีไซเคิลรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานขยายตัว แก้ปัญหาลดขยะซากรถ นำรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานมาหมุนเวียนให้กลายเป็นชิ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม

 

บิ๊กตู่’หนุนรีไซเคิลซากรถเก่า ‘มิลล์คอน’รับลูกเพิ่มกำลังผลิตเท่าตัว

 

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL กล่าวว่า การที่ภาครัฐออกมาสนับสนุนการรีไซเคิลซากรถทั่วประเทศ  นอกจากจะช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5  ช่วยลดภาวะโลกร้อนแล้ว ยังส่งผลดีต่อกลุ่มมิลล์คอนฯ โดยตรง   เนื่องจากบริษัท ซันเทค รีไซเคิล แอนด์ ดี คาร์บอน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ MILL ดำเนินธุรกิจรับรีไซเคิลซากรถยนต์เก่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าซากรถจากต่างประเทศเข้ามารีไซเคิล เดือนละประมาณ 3 หมื่นคัน หรือประมาณ 1.5 หมื่นตันต่อเดือน 

 

หากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการรีไซเคิลรถเก่าในประเทศที่ชัดเจน บริษัทก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้าซากรถจากต่างประเทศมารีไซเคิล เพราะปัจจุบันปริมาณซากรถเก่าในประเทศมีจำนวนมากถึง 5 ล้านคัน ซึ่งอาจจะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการซากรถเก่าให้ครบวงจรมากขึ้น รวมทั้งต้องเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตในการบริหารจัดการซากรถเก่าเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีกำลังผลิตอยู่ที่ 5 หมื่นคันต่อเดือน เพิ่มเป็น 7 หมื่นคันต่อเดือน เพื่อรองรับการบริหารจัดการรีไซเคิลซากรถเก่าในประเทศที่มีจำนวนมากกว่า 5 ล้านคัน

 

ประวิทย์  หอรุ่งเรือง

 

“บริษัทมีประสบการณ์และมีความพร้อมในการรีไซเคิลซากรถเก่าอยู่แล้ว จากการนำเข้าซากรถจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งจากสถิติประเทศไทยมีรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี ทุกประเภท รวมทั้งสิ้น 5,033,307 คัน หากไม่ได้รีไซเคิลให้ถูกต้องเหมาะสม ในอีก 20 ปีข้างหน้า รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี จะเพิ่มเป็น 16 ล้านคัน รถยนต์เก่าเหล่านี้หากนำมาใช้งาน และขาดการบำรุงรักษาตามมาตรฐานจะเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาฝุ่น PM 2.5”

 

ประกอบกับ การรีไซเคิลที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ จะสามารถนำทรัพยากรจากการแยกซากรถมาหมุนเวียนให้กลายเป็นชิ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม ซึ่งจะลดปริมาณการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ ซึ่งในรถยนต์หนึ่งคันมีสัดส่วนเหล็กมากถึง 69%

 

นอกจากนี้ การบริหารจัดการรีไซเคิลซากรถเก่าที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ จะสามารถนำทรัพยากรจากการแยกซากรถมาหมุนเวียนให้กลายเป็นชิ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม ซึ่งจะลดปริมาณการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ เพราะในรถยนต์หนึ่งคันมีสัดส่วนเหล็กมากถึง 69% คิดเป็นมูลค่ากว่า 30,000 บาทต่อคัน ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกำลังการบริโภคเหล็กอยู่ที่ 19 ล้านตันต่อปี เป็นการนำเข้า 12 ล้านตัน และผลิตเอง 7 ล้านตัน หากรีไซเคิลซากรถทั้ง 5 ล้านคัน จะได้เหล็กประมาณ 6.55 ล้านตัน

 

ขณะที่ปัจจุบันนอกจากมีบริษัท ซันเทค รีไซเคิล แอนด์ ดี คาร์บอน เป็นโรงงานรีไซเคิลแล้ว ยังมีโรงงานถอดแยกชิ้นส่วนรถยนต์ แบบครบวงจรอยู่เพียง 2 แห่ง คือ บริษัท ฮีดากาโยโก เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด จังหวัดชลบุรี และบริษัท วงษ์พาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จังหวัพระนครศรีอยุธยา ดำเนินงานตั้งแต่การรวบรวมรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน การรื้อชิ้นส่วนยานพาหนะ ตลอดจนการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นจากยานพาหนะ ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 หน้า  7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3772 วันที่ 7 – 9 เมษายน 2565