“สุพัฒนพงษ์”โชว์แผนเคลื่อนประเทศปี 65 เร่งบูสเตอร์วัคซีน-ลุยศก.ยุคใหม่

20 พ.ย. 2564 | 09:49 น.

"สุพัฒนพงษ์" โชว์แผนรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 65 เร่งทำสัญญาบูสเตอร์วัคซีน 120 ล้านโดสคุมโควิด ลุยระบบรางปูพรมทั่วประเทศ ดันพลังงานสะอาดลดโลกร้อน ดึงเศรษฐี คนเก่ง คนมีความรู้ คนรุ่นใหม่ จากต่างประเทศ 1 ล้านคนช่วยพลิกโฉมประเทศ

 

ในงานสัมมนาหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศครั้งที่ 39  นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทาย (BCG ,พลังงาน)” ใจความสำคัญระบุว่าจากวิกฤติโควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาด รัฐบาลขอขอบคุณทางหอการค้าไทยและภาคเอกชนในการควบคุมการแพร่ระบาด มีการจัดตั้งศูนย์การฉีดวัคซีนต่าง ๆ เพื่อเร่งให้มีอัตราการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

 

สุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์

 

วันนี้เราผ่านเป้าหมายแรกคือผ่าน 50 ล้านโดสแรก จากเป้าหมาย 100 ล้านโดสเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา  และกำลังก้าวสู่ 70% ของจำนวนประชากร ที่จะต้องมีการฉีด 2 เข็มในสิ้นปีนี้ ซึ่งก็เชื่อได้ว่าความร่วมมือระหว่างรัฐบาล หอการค้าฯ และสมาคมธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดกับคนไทย และลดการแพร่ระบาดลงได้ ก็ฝากให้ช่วยกันดูแล และระมัดระวัง

 

เฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจทางด้านบริการ หลังจากที่ไทยได้เปิดประเทศแล้วตั้งแต่วันที่ 1พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งการเปิดประเทศเป็นทางออกที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่พึ่งพารายได้จากสินค้าและบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่หลังเปิดประเทศมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นอย่างมาก อยากให้ช่วยกันรักษาตรงนี้ไว้

 

“สุพัฒนพงษ์”โชว์แผนเคลื่อนประเทศปี 65 เร่งบูสเตอร์วัคซีน-ลุยศก.ยุคใหม่

 

ในส่วนของรัฐบาลเองในการเตรียมความพร้อมเพื่อให้นักธุรกิจ และผู้ประกอบการได้ดำเนินธุรกิจได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็วขึ้น โดยเข็มที่เป็นบูสเตอร์(เข็มกระตุ้นภูมิ)ในปี 2565 ตั้งเป้าไว้ 120 ล้านโดส ซึ่งวันนี้อยู่ในมือรัฐบาล 60-90 ล้านโดสที่รัฐบาลได้ลงนามในสัญญาเป็นที่เรียบร้อย ที่เหลือคาดไม่เกินสิ้นปีนี้น่าจะมีสัญญาในการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ครบ 120 ล้าน เพื่อเป็นหลักประกันให้คนไทยทุกคนว่าบูสเตอร์จะมีเกิดขึ้นและเราจะทำธุรกิจหลังเปิดประเทศได้อย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมในเรื่องของยาทุกประเภท และทุกระยะเวลาของการเจ็บป่วย และลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย และเพื่อเป็นการลดอัตราการเข้าสู่โรงพยาบาล ลดปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่เตียงโรงพยาบาลเต็ม การเตรียมความพร้อมเหล่านี้ของรัฐบาลก็ได้ดำเนินการแล้ว

 ส่วนระยะยาวเรื่องที่รัฐบาลได้ทำมาโดยตลอดที่คนอาจไม่เห็นคือเรื่องการขนส่งทางระบบราง และมีการทำระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ซึ่งจะเห็นผลในอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะทำให้เกิดการกระจายตัวสู่สู่ภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งสมาชิกหอการค้าจังหวัดจะได้นำสิ่งเหล่านี้ไปบอกเล่า และสร้างความเข้มแข็งให้กับจังหวัดของตัวเอง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่ ซึ่งไม่ใช่แค่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซีเท่านั้น การขนส่งทางรางมีแผนงานที่จะไปสู่ทั่วประเทศไทยให้การขนส่งและการเดินทางมีประสิทธิภาพมากขึ้น อนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงจะเกิดความสะดวกมากขึ้นในการเดินทางไปมาหาสู่กัน รวมถึงการค้าขาย และยังเร่งพัฒนาเส้นทางคมนาคมทั่วประเทศให้เกิดความสะดวกมากขึ้น

 

ขณะเดียวกันจะมีเศรษฐกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นอีกมากมาย ผลพวงจากที่นายกรัฐมนตรีได้ไปประกาศจุดยืนในการร่วมมือกับประชาสังคมโลกในการแก้ปัญหาโลกร้อนบนเวที COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ โดยไทยเป็นประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ปีหนึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 300 ล้านตันต่อปี และเกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดประมาณ 3 แสนล้านบาทต่อปี โดยนายกรัฐมนตรีได้ประกาศไทยพร้อมจะปรับเปลี่ยนตัวเองในการลดก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในปี 2065

 

“จากนี้ไปจะมีอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้น จะมีพลังงานสะอาด ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ จะมีพลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานที่สะอาดมากขึ้น พลังงานที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ หรือยานยนต์ไฟฟ้าก็จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นตามลำดับ อุตสาหกรรมประหยัดพลังงานโดยนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ในการประกอบธุรกิจของทุกคนก็จะประหยัดพลังงานมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ รวมทั้งการปลูกป่าที่จะดูดซับคาร์บอนออกไปก็จะช่วยเสริมรายได้ให้เกษตรกร"

 

ทั้งหมดทั้งปวงจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ประเทศไทยเป็นกลางทางคาร์บอนได้ในระยะเวลา 20-30 ปีนับจากนี้ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลจะส่งเสริม นอกจากการปกป้องคามเสี่ยงที่จะถูกกระทบโดยการถูกกีดกันการค้าที่ไม่ใช่รูปของการเงิน ในเรื่องคารร์บอนฟุตปริ๊นท์ต่าง ๆ ซึ่งจะเปลี่ยนประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบคู่แข่ง

 

อีกเรื่องที่สำคัญคือ การเชิญชวนให้มีผู้มาพำนักในไทยใน 4 กลุ่มคนคือ ผู้มั่งคั่ง ผู้มีความรู้ ผู้เกษียณอายุและยังมีความรู้อยู่ และเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งไทยต้องเปิดกว้างรับคนเหล่านี้เข้ามาทำงาน มาพำนักอาศัยอยู่ระยะยาว มาลงทุน มาร่วมสร้างประเทศไทย จากเป็นผู้มีความรู้ และเทคโนโลยีเข้ามาอยุู่ในประเทศไทย เรื่องนี้คณะรัฐมนตรี(ครม.ให้การอนุมัติแล้ว และอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ ปี 2565 น่าจะเริ่มได้ ตั้งเป้าหมายไว้ 1 ล้านคน

 

"ตรงนี้นอกจะสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในเรื่องของบริการ และอสังหาริมทรัพย์แล้วก็ยังเป็นเรื่องของการนำความรู้ และนำคนเก่ง ๆ เข้ามาในไทย และร่วมกับคนรุ่นใหม่ของไทยในการทำธุรกิจ หรือในเรื่องที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะดิจิทัลให้มีความทันสมัยทัดเทียมกับประเทศอื่น แล้วเราจะไปได้เร็วขึ้น นี่คือทิศทางที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย"