โควิดทุบบริโภคสินค้าเกษตร  5 เดือน  เสียหาย 1.38 หมื่นล้าน

09 ส.ค. 2564 | 05:39 น.

"เฉลิมชัย" แม่ทัพเกษตรฯ สั่งบัญชาการแก้ปัญหาสินค้าเกษตร หลัง โควิด-19 ไวรัสมรณะทุบการบริโภคสินค้าเกษตร 5 เดือน เสียหาย 1.38 หมื่นล้านบาท สศก.ระบุ “พาณิชย์ –เกษตรฯ” ดัน  ส่งออกสินค้าเกษตรไทย 6 เดือน พุ่ง 716,581 ล้านบาท

เฉลิมชัย ศรีอ่อน

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว New Normal ผ่านระบบ ZOOM Meeting  กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการผลิตสินค้าเกษตร จึงได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตลอดเวลาในส่วนของการกระจายตลาดสินค้าเกษตรโดยตรงทั้งประเทศ โดยความร่วมมือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงพาณิชย์ ในส่วนกรมต่างๆ

 

อาทิ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง และ กรมปศุสัตว์ ตลอดจนทุกกรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แม้กระทั่ง อ.ต.ก. ได้ทำงานเปิดกระจายตลาดไปทุกมิติเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรเพื่อที่จะได้มีการเชื่อมโยงในส่วนของสินค้าเกษตรในแต่ละอย่าง มีการใช้สินค้าต่อสินค้าแลกเปลี่ยนกัน  อาทิ มังคุดแลกข้าว  หรือข้าวแลกมังคุด จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด

 

นอกจากนี้ยังมีโครงการต่าง ๆ เช่น เกษตรกรแฮปปี้ ที่มีการจัดโปรโมชั่นเพื่อช่วยเกษตรกรกรชาวสวนมังคุด 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดี และจะมีการช่วยเหลือผลไม้อื่น ๆ ในลำดับต่อไป อีกทั้งยังได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ เพื่อเป็นจุดส่งสินค้าไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง ทำให้สามารถระบายสินค้าได้เร็วยิ่งขึ้น

 

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ในส่วนตัวเลขความเสียหายประเมิน  13,895 ล้านบาท ได้ให้ สศก. แต่เป็นเพียงประมาณการ แต่ในเวลาที่เดินไปนั้น ทางก.เกษตรและผู้บริหารก็ได้แก้ไขปัญหาไปพร้อมกันด้วยไม่ได้นิ่งนอนใจ รวมทั้งเรื่องการขนส่งก็มีการปรับรูปแบบทั้งในส่วนของภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ  แม้กระทั่งกระทรวงกลาโหม ก็เข้ามาช่วยดูแล ผมคิดว่าปัญหามีไว้ให้แก้ ส่วนความเสียหายก็ต้องยอมรับว่าวิกฤติโควิดกระทบทุกภาคส่วนจริง

 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการตั้งคณะกรรมการ เพื่อติดตามการบริหารจัดการสินค้าเกษตรอย่างเป็นระบบ รวมถึงได้มีการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าจากหน่วยงานในสังกัด ทั้งกรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เพื่อเป็นการการันตีว่าสินค้าที่ผ่านการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตร


 

ฉันทานนท์ วรรณเขจร

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า  เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยง และยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวช้าลง โดยคาดว่าขยายตัวเพียงร้อยละ 0.7 (ข้อมูล ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2564) เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19

 

ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 2 ปี 2564 สศก. พบว่า ขยายตัวร้อยละ 1.2 โดยปรับตัวดีขึ้น   เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2563 ที่หดตัวถึงร้อยละ 3.1 เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2563  และช่วงต้นปี 2564 ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกได้มากขึ้น

 

รวมทั้งสภาพอากาศโดยทั่วไปที่เอื้ออำนวย และไม่ประสบปัญหาภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้สถานการณ์การผลิตพืชและปศุสัตว์ดีกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรเพิ่มปริมาณการผลิต โดยแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตร ทั้งปี 2564 สศก. ยังคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 1.7 – 2.7 ตามเดิมที่คาดการณ์ไว้

 

จากการวิเคราะห์ผลกระทบโควิด-19  พบว่า ภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับ ภาคอื่น ๆ โดยผลกระทบที่ได้รับมีสาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อสินค้าเกษตรที่อ่อนตัวลง เพราะมาตรการ ที่ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

 

เช่น การล๊อกดาวน์ และการควบคุมพื้นที่ การจำกัดเปิดร้านค้า และ ร้านอาหารต่าง ๆ โดยผลวิเคราะห์พบว่า กรณีโควิด-19 กระทบ 5 เดือน (เมษายน - สิงหาคม 2564) มูลค่าทางเศรษฐกิจการเกษตรในส่วนของการบริโภคสินค้าเกษตรในประเทศ จะลดลงรวมทั้งสิ้น 13,895 ล้านบาท          


 

สินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

 

เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อสาขาการผลิตทางการเกษตร 5 อันดับแรก (กรณี 5 เดือน)  พบว่า สาขาการผลิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ การทำสวนผัก มูลค่าทางเศรษฐกิจลดลง 3,049 ล้านบาท รองลงมา คือ การทำสวนผลไม้ มูลค่าลดลง 2,061 ล้านบาท การทำนา มูลค่าลดลง 2,038 ล้านบาท การประมงทะเลและการประมงชายฝั่ง มูลค่าลดลง 1,007 ล้านบาท และการเลี้ยงสัตว์ปีก มูลค่าลดลง 908 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากโครงสร้างการบริโภคของประเทศไทย มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริโภค ผัก ผลไม้ และข้าว มากที่สุด
 

 

อย่างไรก็ตาม แม้โควิด -19 จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย แต่การส่งออกสินค้าเกษตรไทย ยังขยายตัวได้ดี  ตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า จึงนับเป็นอีกแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ โดยเมื่อพิจารณาถึงการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังตลาดโลก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 (เดือนมกราคม-มิถุนายน) พบว่า มีมูลค่าอยู่ที่ 716,581 ล้านบาท

 

เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 669,079 ล้านบาท หรือเพิ่มร้อยละ 7.1 สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์สำคัญที่มีปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ยางพารา ทุเรียนและผลิตภัณฑ์ สับปะรดและผลิตภัณฑ์ ลำไยและผลิตภัณฑ์ เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ กุ้งและผลิตภัณฑ์ และน้ำมันปาล์ม  ทั้งนี้ ตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป

 

นอกจากนี้ ในอีกมุมหนึ่ง ภาคเกษตรยังเป็นภาคสำคัญที่รองรับการย้ายคืนถิ่นในช่วงการระบาดโควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานเมือง และความรู้และเทคโนโลยี จึงถือเป็นการสร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรและเร่งกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคให้เกิดขึ้นจริงได้ เพราะกลุ่มแรงงานคืนถิ่นรุ่นใหม่กลุ่มนี้ จะเพื่อเป็นกำลังสำคัญทั้งการสร้างมูลค่าใหม่ทางการเกษตร (มูลค่าเพิ่มจากการแปรรูปเกษตรอย่างง่าย)

 

รวมทั้งพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและสุขภาพ อย่างไรก็ตาม แรงงานย้ายคืนถิ่นภาคเกษตรอาจเป็นกลุ่มรายได้น้อย ลูกจ้างรายวัน ทำงานในภาคบริการ โรงแรม และภัตตาคาร และการตัดสินใจกลับภูมิลำเนาเพื่อความอยู่รอด บางกลุ่มจึงอาจต้องการมีทักษะ การให้ความรู้ การฝึกอบรม และช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งพัฒนาและแชร์ข้อมูลเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ ระหว่างกันเพื่อช่วยวางแผนพัฒนาภาคเกษตร ในทุกมิติ

 

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมแนวทางดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ตลอดจนผลักดันนโยบายดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาและปรับทักษะแรงงาน (upskill/reskill) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล (Smart Farm) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับปัจจัยลบต่าง ๆ  ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจ (economic shocks) ในอนาคตได้ดีขึ้น