นักลงทุนทะลักอีอีซี กรอ.เผยยอดขอตั้งโรงงานและขยายกิจการนอกนิคมอุตสาหกรรมพุ่ง 8 หมื่นล้านบาท ในช่วง 8 เดือน เพิ่มกว่า 107% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์นำโด่งลงทุน 1.42 หมื่นล้านบาท คาดทั้งปี 2562 เกิน 1 แสนล้านบาท สอดรับงานก่อสร้างโรงงานในพื้นที่ล้นมือ ป้อนความต้องการไม่ทัน
การดำเนินงานในการขับเคลื่อนนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้เห็นเม็ดเงินการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลใหม่ได้เข้ามาสานต่อโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการออกชักชวนนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนมีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอในพื้นที่อีอีซีมีจำนวน 227 โครงการ เงินลงทุน 1.18 แสนล้านบาท ขณะที่ในช่วงปี 2560-2561 มียอดการยื่นขอส่งเสริมจากบีโอไอรวม 810 โครงการ เงินลงทุนราว 9.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลต่อเนื่องการยื่นขอส่งเสริมการลงทุน ได้นำมาสู่การลงทุนจริงที่เกิดขึ้นในอีอีซี เห็นได้จากยอดขอประกอบกิจการใหม่และขยายกิจการโรงงานในอีอีซี ช่วง 8 เดือนของปี 2562 โดยไม่รวมโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม มีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างมากมาอยู่ที่ 7.99 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 3.84 หมื่นล้านบาท สอดรับกับธุรกิจการก่อสร้างโรงงานที่ขณะนี้มีงานล้นมือหรือมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุน
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายให้กรอ.เร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจโลกประสบปัญหาชะลอตัวจากสงครามการค้า ซึ่งจากการดำเนินงานในช่วง 8 เดือน (มกราคม-สิงหาคม) ที่ผ่านมาพบว่า มีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามายื่นขอใบประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) และขยายกิจการโรงงาน เป็นจำนวนมากรวม 339 โรงงาน เงินลงทุน 7.99 หมื่นล้านบาท หรือเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 107.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน แบ่งเป็นขอประกอบกิจการใหม่ 263 โรงงาน เงินลงทุน 4.07 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.7% และขอขยายโรงงาน 76 โรงงาน เงินลงทุน 3.91 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.03%
ทั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายอีอีซีของรัฐบาลได้เดินมาถูกทาง ประกอบกับไทยเป็นประเทศเป้าหมายของนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ที่ต้องการย้ายฐานมาลงทุน โดยมีอีอีซีเป็นพื้นที่รองรับ ดังนั้นจึงเชื่อว่าระยะเวลาที่เหลืออีก 4 เดือนของปี 2562 นี้ จะทำให้มีนักลงทุนเข้ามายื่นขอประกอบกิจการโรงงานและขยายกิจการโรงงานคิดเป็นมูลค่าไม่ตํ่ากว่า 1 แสนล้านบาทอย่างแน่นอนจากปี 2561 มีเม็ดเงินลงทุนราว 6.75 หมื่นล้านบาท
นายมงคล สุขเกษมไพศาล ผู้อำนวยการ บริษัท แฮ้นช์ สตีล จำกัด ผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างและรับก่อสร้างโรงงานครบวงจร ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า นโยบายอีอีซีที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในอีอีซีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนจากไต้หวันและจีน ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากผลกระทบของสงครามการค้า ซึ่งขณะนี้เองยอมรับว่า งานก่อสร้างโรงงานทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม มีไม่เพียงพอรองรับกับนักลงทุนที่เข้ามา เห็นได้จากการรับงานก่อสร้างของบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากไต้หวัน เวลานี้ค่อนข้างเต็มศักยภาพที่มีอยู่ ไม่สามารถรับงานที่เพิ่มขึ้นได้จากที่ได้มีการเจรจากันไว้
“บริษัทมีกำลังผลิตเหล็กโครงสร้างประมาณ 700 ตันต่อเดือน และประกอบเหล็กที่เกี่ยวกับงานโครงสร้างอาคารโรงงานราว 2.5 พัน ตันต่อดือน ปัจจุบันมีงานก่อสร้างโรงงานครบวงจรอยู่ในมือแล้วกว่า 300 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาอีกราว 400 ล้านบาท เป็นนักลงทุนจากไต้หวันและจีน ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถือว่ารับงานเต็มมือแล้ว เนื่องจากขาดบุคลากรที่ใช้ควบคุมงานก่อสร้างที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างแก้ไขและจัดฝึกอบรมพนักงานอยู่”
หน้า 5 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3501 วันที่ 1-4 กันยายน 2562