อังกฤษติดเชื้อโควิดเกือบ 20,000 ราย ตายเพิ่มกว่า 1 พัน ในวันเดียว

06 ก.พ. 2564 | 00:40 น.

สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 กลายพันธุ์ในประเทศอังกฤษยังอยู่ในขั้นวิกฤต ผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันยังพุ่งทะยานในอัตราสูง ทำให้ยอดสะสมใกล้แตะ 4 ล้านราย ส่วนยอดเสียชีวิตทะลุ 1.1 แสนราย

จากการเปิดเผยของ กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ เมื่อวันศุกร์ (5 ก.พ.) พบว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีรายงานยืนยัน ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 19,114 ราย ขณะที่ ยอดรวมผู้ติดเชื้อในประเทศ อยู่ที่ระดับ 3,911,573 ราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก

 

ส่วนจำนวน ผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้น 1,014 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 111,264 ราย ซึ่งเป็น อันดับ 5 ของโลก เช่นกัน

 

สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในอังกฤษเข้าขั้นวิกฤต

รายงานดังกล่าวมีขึ้น ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ ซึ่งทำให้มีการแพร่ระบาดรวดเร็วกว่าเดิมถึง 70% ทั้งนี้ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (3 ก.พ.) สำนักงานสาธารณสุขแห่งอังกฤษ (พีเอชอี) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ใหม่อีกครั้งของเชื้อก่อโรคโควิด-19 กลายพันธุ์ของอังกฤษ ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นกังวลว่า จะทำให้เชื้อกลายพันธุ์อังกฤษที่แพร่ระบาดเร็วอยู่แล้ว มีความสามารถในการต่อต้านแอนติบอดีที่วัคซีนโควิดสร้างขึ้น จนอาจทำให้วัคซีนด้อยประสิทธิภาพลง

 

ป้ายเตือนประชาชนพบเห็นทั่วไปริมท้องถนน

ทั้งนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ของพีเอชอี ตรวจสอบตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เคนท์ (บี.1.17) ที่ระบาดรุนแรงอยู่ในอังกฤษในเวลานี้ 214,159 ตัวอย่าง พบว่า มี 11 ตัวอย่างที่เกิดการ “กลายพันธุ์ซ้ำ” และเป็นการกลายพันธุ์ในตำแหน่งพันธุกรรมเดียวกับการกลายพันธุ์ในแอฟริกาใต้และบราซิล ส่งผลให้เกิดการต่อต้านแอนติบอดีในร่างกายที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน

 

นักวิชาการด้านไวรัสวิทยาอธิบายเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ “อี484เค”  ว่าหมายถึงการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นกับตำแหน่งพันธุกรรมลำดับที่ 484 จาก "อี" แต่เดิมเป็น "เค" นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการกลายพันธุ์ที่จุดนี้ยังมีอีกมากในอังกฤษ แต่ยังค้นหาไม่พบเท่านั้น โดยยกตัวอย่างการตรวจสอบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เมืองลิเวอร์พูลพบว่า มีจำนวนถึง 32 รายที่มีการกลายพันธุ์ อี484เค และพบด้วยว่า เชื้อที่เกิดการกลายพันธุ์เหล่านี้บางส่วนกลายพันธุ์เองโดยอิสระ ไม่ได้เป็นการแพร่จากแหล่งเดียว

 

อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ว่า วิวัฒนาการครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งในอังกฤษและในประเทศอื่นๆ มากน้อยแค่ไหน นักวิจัยส่วนหนึ่งชี้ว่า อี484เค คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทดลองวัคซีนหลายตัวได้ผลน้อยลงในประเทศแอฟริกาใต้ ตัวอย่างเช่น วัคซีนโนวาแวกซ์ ทดลองในคนระยะที่ 3 ในอังกฤษได้ผล 89% แต่ในการทดลองระยะที่ 2 ในแอฟริกาใต้พบว่าได้ผลเพียง 60% ขณะที่วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ทดลองได้ผล 72%ในสหรัฐ แต่ได้ผลเพียง 57%ในแอฟริกาใต้

 

นักวิจัยเผยว่า ทั้งสองกรณี การทดลองในแอฟริกาใต้นั้น กลุ่มตัวอย่าง 90-95% เป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์กลายพันธุ์ บี.1.351 ที่พบมากที่สุดในแอฟริกาใต้และมีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง อี484เค ทั้งสิ้น

 

เกี่ยวกับกรณีไวรัสโควิดกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วมากขึ้นทั้งในอังกฤษและอีกหลายประเทศในเวลานี้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวแจ้งเตือนว่า ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ในอังกฤษที่เรียกว่า B.1.1.7 หรือ 501Y.v1 นั้น เดิมมีข้อมูลยืนยันว่าทำให้แพร่ระบาดเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บอกว่าจะรุนแรงไปกว่าสายพันธุ์เดิม อย่างไรก็ตาม จากการติดตามในระยะเวลาต่อมา พบว่าความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์เดิมอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการยืนยันจากงานวิจัยของ 3 มหาวิทยาลัย ได้แก่ The London School of Hygiene & Tropical Medicine, Imperial College London, และ University of Exeter ที่ได้ผลไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งโดยสรุปแล้ว ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษ จะทำให้มีอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น 1.65 เท่า หรือเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 65%

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไวรัสกลายพันธุ์ยังพ่นพิษหนัก อังกฤษทุบสถิติ ติดโควิดรายวันทะลุ 50,000 เป็นวันที่ 3

ควีนเอลิซาเบธแห่งอังกฤษ พระสวามี ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว

ผวา โควิดกลายพันธุ์อังกฤษระบาดไปแล้วกว่า 80 ประเทศทั่วโลก