ผู้ป่วยโควิดแห่ขอทดลองสูตรยาที่ใช้รักษาปธน.ทรัมป์

08 ต.ค. 2563 | 23:33 น.

แพทย์เตือนให้รอข้อมูลด้านประสิทธิภาพ หลังผู้ป่วยโควิด – 19 แห่ขอลองสูตรยาที่ใช้รักษาปธน. ทรัมป์

 

บรรดาผู้ป่วยได้ขอเข้าร่วมการทดลองทางคลินิกสำหรับการใช้ ยารักษาโรคโควิด-19 ที่สกัดจากแอนติบอดีของ บริษัท รีเจนเนอรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ อิงค์. (Regeneron Pharmaceuticals Inc.) ซึ่งใช้ในการรักษาอาการป่วยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การติดโควิด-19 เป็น“พรจากพระเจ้า”เพราะทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับยาที่อาจจะช่วยรักษาโรคนี้ได้

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ออกจากโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์ รีด และกลับเข้าทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ต.ค.หลังได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ต.ค. โดยเขามีอาการติดเชื้อที่ปอดจนระดับออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง

 

 แพทย์ประจำตัวของปธน.ทรัมป์เผยว่า ผลการตรวจเลือดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาพบว่า แอนติบอดีมีการต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งโฆษกของ Regeneron ให้เหตุผลว่า อาจเป็นผลมาจากการรักษาด้วยยาของบริษัท

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ทรัมป์” ถูกวิจารณ์หนักหลังออกจากโรงพยาบาล

“ทรัมป์” ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ลั่นพร้อมลุยศึกเลือกตั้ง

อัพเดตอาการ “ทรัมป์” ป่วยโควิด : "ยังไหว"

เรียนรู้การใช้ “ยารักษาโควิด” จากกรณีโดนัลด์ ทรัมป์

 

ด้านปธน.ทรัมป์ ซึ่งกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งแล้วหลังออกจากโรงพยาบาล แถลงยืนยันว่า เขาแข็งแรง สบายดี และคิดว่าไวรัสมรณะโควิด-19 เป็น “พรจากพระเจ้า” เพราะทำให้ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับยาที่อาจจะช่วยรักษาโรคนี้ได้ เขาสัญญาว่า จะให้ชาวอเมริกันได้รับยาดังกล่าวฟรี พร้อมทั้งบรรยายถึงสรรพคุณของยานี้ด้วย

จากคลิปวิดีโอที่ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐเผยแพร่ต่อสาธารณะ ปธน.ทรัมป์ยืนอยู่หน้าห้องทำงานรูปไข่ ที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน กล่าวถึงการพักรักษาตัว ที่โรงพยาบาลทหารวอลเตอร์รีด

 

"ผมคิดว่าเป็นพรจากพระเจ้านะที่ผมติดเชื้อ เหมือนพรจำแลง" นายทรัมป์กล่าว และว่าการป่วยเป็นโควิด-19 ทำให้เขาได้รู้จักกับยาหลายชนิด โดยเฉพาะแอนติบอดีจากบริษัทรีเจนเนอรอน ซึ่งเขาขอให้ทีมแพทย์ใช้ยาดังกล่าวรักษาและได้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ พร้อมย้ำว่าจะพยายามหาทางอนุมัติยาขนานนี้ซึ่งยังอยู่ระหว่างการทดลอง เพื่อนำไปใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน

 

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ระบุว่า ก่อนที่จะนำยาดังกล่าวไปใช้ในวงกว้างได้นั้น จะต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมเสียก่อนเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการรักษา