ถอดรหัส "คิม จอง อึน" มนุษย์จรวด ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

25 เม.ย. 2563 | 10:34 น.

ถอดสหรัฐเกมการเมืองระหว่างประเทศที่ไม่ธรรมดาของ “คิม จอง อึน” ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ ผู้ที่ถูก โดนัลด์ ทรัมป์ ขนามนามว่า “มนุษย์จรวด”

การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธ ของเกาหลีเหนือในยุคของ “คิม จอง อึน” ที่เชื่อกันกว่ามีพิสัยทําการครอบคลุมแผ่นดินใหญ่บางส่วนของสหรัฐ กลายมาเป็นข้อต่อรองสำคัญที่เกาหลีเหนือใช้เจรจากับสหรัฐ ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ จนทำให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐที่เคยมีท่าทีแข็งกร้าว พร้อมขู่ว่าจะโปรย“ฝนแห่งเปลวเพลิงและความโกรธแค้น”ลงสู่กรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือ ในช่วงแรกที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ คนแรกที่ได้มีโอกาสก้าวเข้าในเขตแดนของเกาหลีเหนือ

“คิม จอง อึน” โคม่า จีนส่งทีมแพทย์เช็กอาการ

ระงมทวิตเตอร์ สิ้นคิม จอง อึน

คิม จอง อึน ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ

นับตั้งแต่นายคิม จอง อึน ขึ้นเป็นผู้นําเมื่อ 2012 จนถึงปี 2018  เกาหลีเหนือได้ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้ว 4 ครั้ง(เดือนกุมภาพันธ 2013 เดือนมกราคม 2016 เดือนกันยายน 2016 และเดือนกันยายน 2017 มากกว่าในยุคนาย คิม จองอิล เป็นผู้นําระยะเวลา 18 ปี มีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เพียง 2 ครั้ง ทดสอบขีปนาวุธ 21 ครั้ง

นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าในยุคคิม จอง อึน เกาหลีเหนือประสบความสําเร็จในการย่อส่วนนิวเคลียร์เพื่อติดตั้งบนหัวรบขีปนาวุธ และสามารถพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ซึ่งเชื่อว่าสามารถยิงได้ไกลถึงแผ่นดินสหรัฐ

ถอดรหัส \"คิม จอง อึน\" มนุษย์จรวด ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

การกระทําดังกล่าวเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือเย็นชาลง และจีนได้ปรับนโยบายในการแก้ไขปัญหาอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือโดยการร่วมมือกับสหประชาชาติในการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรมากขึ้น

แม้ว่าในระยะแรกหลังนายคิม จอง อึน ขึ้นเป็นผู้นํา เกาหลีเหนือ ได้มีท่าทีต้องการเจรจาแก้ไขปัญหาอาวุธนิวเคลียร์ โดยเมื่อวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2012 เกาหลีเหนือและสหรัฐได้เจรจากันที่กรุงปักกิ่งของจีน

การหารือดังกล่าว สหรัฐยืนยันว่าไม่มีนโยบายที่จะเป็นศัตรูกับเกาหลีเหนือ และพร้อมจะปรับปรุงความสัมพันธกับเกาหลีเหนือบนพื้นฐานของความเคารพในอธิปไตยและความเท่าเทียมกัน นอกจากนี้สหรัฐยังยืนยันในพันธกรณีตามแถลงการณ์ร่วมวันที่ 19 กันยายน 2005

แต่สุดท้ายเกาหลีเหนือก็กลับมาดําเนินโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งในยุค นายคิม จอง อึน ส่วนหนึ่งมาจากทัศนะต่อภัยคุกคาม (Threat Percep- tion) ของผู้นํา เกาหลีเหนือ อันเนื่องมาจากสถานการณ์ระหว่างประเทศในขณะนั้น

กล่าวคือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2011 เหตุการณ์ Arab Spring ซึ่งประชาชนในภูมิภาคตะวันออกกลางออกมาเรียกร้องเสรีภาพจากผู้นําอํา นาจนิยม ได้แพร่ขยายมาถึงลิเบีย ส่งผลให้ประชาชนออกมาชุมนุมต่อต้านพันเอกกัดดาฟี จนเหตุการณ์ลุกลาม เป็นสงครามกลางเมือง

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2011 UNSC ได้ออกข้อมติที่1973/2011 ให้กําหนดเขตห้ามบิน เหนือลิเบีย สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงปฏิบัติการโจมตีลิเบียทางอากาศเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2011 ส่งผลให้พันเอกกัดดาฟีถูกกองกําลังฝ่ายตรงข้ามจับกุม และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2011

เหตุการณ์ในลิเบียส่งผลให้เกาหลีเหนือเห็นว่าการที่ลิเบีย ซึ่งยกเลิกโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้ว แต่ยังคงถูกกลุ่มประเทศตะวันตกใช้กําลังโจมตี เป็นการยืนยันว่าการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้นที่จะสามารถปกป้องเกาหลีเหนือได้

ถอดรหัส \"คิม จอง อึน\" มนุษย์จรวด ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

นอกจากนี้การทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ดังกล่าวอาจมีเป้าหมายเพื่อสร้างเกียรติภูมิของนายคิม จอง อึน ในฐานะผู้นํา เกาหลีเหนือคนใหม่ที่มีความชอบ-ธรรมทางการเมือง รวมทั้งแสดงให้ผู้นําคนใหม่ของจีนคือประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาสมัยที่ 2 ได้รับรู้ถึงท่าทีแข็งกร้าวของเกาหลีเหนือ

แต่การกระทำดังกล่าวกลับสร้างความสัมพันธ์ที่เย็นชาลงระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ เห็นได้จากจํานวนการเยือนระหว่างกันของผู้นําจีนกับเกาหลีเหนือ โดยตั้งแต่นายสี จิ้นผิง ขึ้นเป็นผู้นําจีน เมื่อ 2012 ถึง 2018 เป็นระยะเวลา 7 ปี ไม่มีการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กับประธานาธิบดีคิม จอง อึน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 7 ปีก่อนหน้านี้คือ 2005-2011 ที่อดีตประธานาธิบดีหูจิ่น เทา พบกับคิม จอง อิล อดีตผู้นํา เกาหลีเหนือถึง 5 ครั้ง

ขณะที่ความสัมพันธ์ของเกาหลีเหนือในยุค คิม จอง อึน กับสหรัฐ ในยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ช่วงแรกสหรัฐมีท่าทีแข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือมากขึ้น โดยประกาศว่ายุคแห่งการอดทนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Patience) ได้สิ้นสุดลงแล้ว และหากจีนไม่เร่งแก้ไขปัญหาเกาหลีเหนือ สหรัฐพร้อมที่จะกระทําการฝ่ายเดียว โดยสหรัฐ “มีทางเลือกทุกทางอยู่บนโต๊ะ” (All options are on the table)

ถอดรหัส \"คิม จอง อึน\" มนุษย์จรวด ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

นอกจากนี้ สหรัฐยังส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vin- son ไปยังคาบสมุทรเกาหลีเมื่อเดือนเมษายน 2017 ส่งผลให้เกิดความหวั่นเกรงว่าสหรัฐอาจเลือกที่จะใช้กําลังทหารแก้ไขปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ

ท่าทีดังกล่าวของสหรัฐ เป็นผลมาจากการที่เกาหลีเหนือประสบความสําเร็จในการทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป รุ่น Hwasong-14 ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอย่างยิ่ง เนื่องจากเชื่อกันว่าขีปนาวุธดังกล่าวมีพิสัยทําการครอบคลุมแผ่นดินใหญ่บางส่วนของสหรัฐ

ถอดรหัส \"คิม จอง อึน\" มนุษย์จรวด ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

ส่งผลให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวว่า หากเกาหลีเหนือโจมตีสหรัฐ สหรัฐจะโปรย “ฝนแห่งเปลวเพลิงและความโกรธแค้น” (Fire and Fury) ลงสู่กรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือ รวมทั้งปรากฏกระแสข่าวว่าคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐกําลังร่างแผนการโจมตีเกาหลีเหนือแบบจํากัด

ส่วนเกาหลีเหนือได้ขู่ตอบโต้ว่าจะโจมตีเกาะในสหรัฐ ทำให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างมาก โดยเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2017 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติว่า สหรัฐจะทําลายเกาหลีเหนืออย่างสิ้นเชิง หากเกาหลีเหนือยังคงท้าทายสหรัฐด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และกล่าวถึงนายคิม จอง อึนว่าเป็น “มนุษย์จรวด” (Rocket Man) ที่กําลังนํา พาตนเองและประเทศชาติไปสู่หายนะ

ขณะที่ประธานาธิบดีคิม จอง อึน แถลงตอบโต้เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2017 ว่าตนกําลังพิจารณาที่จะตอบโต้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ซึ่งเป็น"คนเสียสติ" (Dotard) อย่างรุนแรงที่สุด ขณะที่นาย Ri Yong Ho รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือขู่ว่า เกาหลีเหนืออาจทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งต่อไปในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยประธานาธิบดีคิม จอง อึน จะเป็นผู้พิจารณาในขั้นสุดท้าย

ส่วนจีนแม้จะเพิ่มการลงโทษเกาหลีเหนือมากขึ้น แต่จีนเองก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางสร้างปฏิสัมพันธ์ ทั้งความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน แต่ความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือมักหยุดชะงักลงจากการที่เกาหลีเหนือยังคงทดลองอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธเป็นระยะ รวมทั้งไม่มีการเจรจาระดับสูง ตามที่จีนคาดหวัง

ต่อมาเมื่อเข้าสู่ปี 2018 บรรยากาศบนคาบสมุทรเกาหลีเริ่มผ่อยคลายความ ตึงเครียดลง เมื่อเกาหลีเหนือปฏิบัติการรุกด้วยเสน่ห์ โดยเริ่มจากการที่นายคิม จอง อึน กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันปีใหม่ว่าพร้อมจะเจรจากับเกาหลีใต้

ตามด้วยการส่ง นายคิม ยอง นัม ประธานสภาประชาชนสูงสุด และนางสาวคิม ยอ จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน นําคณะนักกีฬาไปร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้

อีกเรื่องที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกในยุคนายคิม จอง อึน นั่นก็คือการประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-สหรัฐ ที่สิงคโปร์ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2018 โดยผลการประชุมออกมาในรูปของแถลง-การณ์ร่วม ซึ่งมีสาระสํา คัญคือสหรัฐตกลงที่จะรับประกันความมั่นคงให้เกาหลีเหนือ และเกาหลีเหนือยืนยันในพันธกรณีตามปฏิญญาปันมุนจอม โดยจะผลักดันให้มีการทําให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์

“แถลงการณ์ร่วม” “สหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ” ครั้งประวัติศาสตร์

ถอดรหัส \"คิม จอง อึน\" มนุษย์จรวด ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังแถลงข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นที่มีการหารือกับประธานาธิบดี คิม จอง อึน ระบุว่าการยกเลิกมาตรการคว่ำ บาตรต่อเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นเมื่อมีความคืบหน้าของกระบวนการยุตินิวเคลียร์ และสหรัฐจะพิจารณาที่จะระงับการซ้อมรบร่วมกับ เกาหลีใต้ชั่วคราว รวมทั้งกล่าวถึงโอกาสที่จะถอนกองกําลังสหรัฐในเกาหลีใต้ออก

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงโอกาสที่จะเชิญผู้นําเกาหลีเหนือเยือนสหรัฐในอนาคต รวมทั้ง กล่าวชื่นชมและขอบคุณประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ให้ความช่วยเหลือจนทําให้การประชุมสุดยอดประสบความสําเร็จ และหวังว่าจีนกับสหรัฐจะยังคงความร่วมมือระหว่างกันต่อไป

การประชุมดังกล่าวทําให้ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี และเอเชียตะวันออกลดลงอย่างมาก ตรงกันข้ามกับสถานการณ์เมื่อ 2017 ที่เกาหลีเหนือและสหรัฐต่างข่มขู่จะใช้กําลังต่อกันจนทําให้หลายฝ่ายกังวลถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น

นอกจากการประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-สหรัฐ ที่สิงคโปร์ในวันที่ 12 มิถุนายน 2018 นายคิม จอง อึน ยังได้พบปะและประชุมกับ ประธานาธิบดีทรัมป์ อีก 2 ครั้งในเวลาต่อมา กล่าวคือ เมื่อเดือน ก.พ. 2019 ในการประชุมสุดยอดสหรัฐ-เกาหลีเหนือครั้งที่สองที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม

ล่มยก 2!! ไร้ข้อตกลง 'ทรัมป์' เค้นเกาหลีเหนือ ปลดอาวุธนิวเคลียร์ต้อง "ทั้งหมด"

ถอดรหัส \"คิม จอง อึน\" มนุษย์จรวด ของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2019 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เดินทางเยือนเขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone - DMZ) ระหว่างเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ เพื่อพบปะกับนายคิม จอง อึน และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก ที่ได้มีโอกาสก้าวเข้าในเขตแดนของเกาหลีเหนือ หลังจากเขาได้พบกับ คิม จอง อึน

ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเกาหลีเหนือกับจีนในช่วงหลังก็ดีขึ้น เห็นได้จากการที่ประธานาธิบดี คิม จอง อึน เดินทางเยือนจีนและพบกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ทั้งก่อนและหลังการประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-ใต้

รวมทั้งการที่นายคิม จอง อึน เดินทางด้วยเครื่องบินของจีนไปร่วมการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ แสดงให้เห็นว่าเกาหลีเหนือพยายามฟื้นฟูความสัมพันธกับจีนเพื่อเพิ่มอํานาจต่อรอง ก่อนที่จะเข้าประชุมกับเกาหลีใต้และสหรัฐ

ขณะที่จีนแม้ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าการฟื้นฟูความสัมพันธระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้เกาหลีเหนือยอมกลับเข้าสู่การเจรจาและผ่อนคลายท่าทีแข็งกร้าวลง

เรียบเรียงจาก จุลสารความมั่นคงศึกษา เรื่องความสัมพันธ์จีน-เกาหลีเหนือ: ประเด็นปัญหาอาวุธนิวเคลียร์